วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระกรรมฐาน

วิธีรวบรัดในการปฏิบัติพระกรรมฐาน
           
  จงอย่าสนใจกับจริยาของบุคคลอื่น  ให้ทรงพรหมวิหาร 4  มีอิทธิบาท 4  (หลวงพ่อเคยเทศน์ที่บ้านสายลมเมื่อวันที่ 10  มิถุนายน  2534  ว่าถ้าไม่มีอิทธิบาท 4  ปฏิบัติอีกโกฏิปีก็เอาดีไม่ได้  อิทธิบาท  4  ได้แก่  ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)  มีศีลเป็นปกติ  คนที่เขามีศีลน่ะ  เขาไม่สร้างความยุ่งยากให้กับบุคคลอื่น  เพราะว่าเขามองหาความเลวของตัวเป็นสำคัญ  ถ้าจิตของเราดีมันก็ไม่ยุ่ง  กายก็ดี  วาจาก็ดี  ถ้าจิตของเราเลวลง  วาจาก็เลว  กายก็เลว  ที่นี้ทุกคนจงสำนึกตัวไว้  อย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเป็นการผิดระเบียบตามพระพุทธศาสนา  และตามระเบียบวินัย  แล้วเราก็ควบคุมศีล  ศีลของเรามีเท่าไหร่ ปฏิบัติให้ครบ  ธรรมะมีเท่าไหร่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน  มีเท่าไหร่ปฏิบัติให้ครบ  อารมณ์สมถะมี 40 ปฏิบัติให้มันครบองค์  วิปัสสนาญาณมีเท่าไหร่ปฏิบัติให้ครบ  ถ้าพยายามคิดประพฤติอยู่อย่างนี้  มันก็ไม่มีเวลาไปยุ่งกับบุคคลอื่น  อันนี้อาการที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่บุคคลอื่น  ก็ชื่อว่าไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง
                         เป็นอันว่าด้านสมาธิจิตของพระโสดาบัน  นับไปให้ดีว่ามีอะไรบ้างว่า  หนึ่งพุทธานุสสติ  สองธัมมานุสสติ  สามสังฆานุสสติ  สี่สีลานุสสติ  ห้าอุปสมานุสสติ  หกมรณานุสสติ  ทีนี้การเจริญพระกรรมฐานพร้อม ๆ กัน เขาทำยังไง  การที่จะเป็นพระโสดาบันมีกฎบังคับว่า  ถ้าอารมณ์จิตต่ำกว่าปฐมฌานจะเป็นพระโสดาบันไม่ได้  หรือว่าจะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้  อย่างเลวที่สุด  จิตต้องทรงอยู่ในปฐมฌานเป็นปกติ  และอย่างดีที่สุดจิตก็จะทรงอยู่ในฌาน 4 เป็นปกติ  แต่ฌานที่สี่นี่ปกติไม่ได้  ปกตินี่หมายถึงเวลาที่เราจะใช้ในยามปกติธรรมดา  เราพูด เราคุย เราทำงาน  จิตต้องอยู่ในปฐมฌานเป็นปกติ  แล้วอารมณ์ปฐมฌานเป็นยังไง  อารมณ์ปฐมฌานก็คือว่า  เมื่อกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น     สำหรับเรา  อารมณ์นี้จะคุมอยู่ในอนุสสติทั้งหกตลอดเวลา  เราจะไม่ลืมพระพุทธเจ้า เราจะไม่ลืมพระธรรม เราจะไม่ลืมพระสงฆ์ เราจะไม่ลืมศีล เราจะไม่ลืมพระนิพพาน เราจะไม่ลืมนึกถึงความตาย  นี่ถ้าทุกคนมีอารมณ์อย่างนี้  มันจะมีบ้างไหมที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับบุคคลอื่น  จะไปยุ่งกับอาการของบุคคลอื่นไม่มี  แต่ถ้าอารมณ์ของเราเลวทรามลงกว่าพระโสดาบันล่ะ  ถ้าเป็นพระก็เลยเป็นพระเดรัจฉานไป  ถ้าฆราวาส ก็จัดว่าเป็นปุถุชนคนหนาแน่นไปด้วยกิเลส  เป็นพาลชนคนโง่  หวังว่าต่อไปนี้ท่านทั้งหลาย  คงจะไม่มีใครเลว มีแต่ความดี และก็ทรงความดีทั้งหลายอย่างนี้ไว้
                        ความ สำคัญมีอยู่อย่างเดียว  คือ ทำจิตให้หมดจากกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน  นี่เป็นความต้องการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็เป็นความต้องการของผม (หลวงพ่อ)  ด้วย
(คัดลอกและตัดตอนมาจาก   ทางสายเข้าสู่พระนิพพาน  ตอน  พระโสดาบัน)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น