พระท่ากระดาน เป็นพระที่ถูกสร้างในสมัยอู่ทอง คือประมาณปี พ.ศ. 1800 ถึง พ.ศ. 2031 เป็นพระเครื่องที่มีปฎิมากรรมแบบ แบน นูนสูง คือมีภาพด้านหน้าด้านเดียว ด้านหลังแบนเรียบ และจะเน้นส่วนนูนสูงและส่วนลึก พระท่ากระดานเป็นพระปฏิมาปางวิชัย ขัดราบมีสังฆาฏิแบบสี่เหลี่ยมกว้าง หนายาวจรดลงมา มีฐานหนาซึ่งเรียกว่าฐานสำเภาซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระยุคอู่ทอง พระเกศยาว ใบหน้าลึกลักษณะคล้ายยิ้มแบบเครียด ๆ เป็นลักษณะแบบอู่ทองเกศยาวทุกองค์และตรงขึ้นไป เกี่ยวกับอายุมากและอยู่ใต้ดินถูกทับถมเลยทำให้ปลายเกศซึ่งมีความบอบบงอาจ หักชำรุด หรือคดงอ เลยทำให้ปลายเกศของพระท่ากระดานมีหลายลักษณะ คือเกศยาวตรง เลยเรียกว่า “พิมพ์เกศตรง” ส่วนเกศที่คดไปคดมาเพราะเกิดจากการบิดงอหรือถูกทับบิดไปเลยเรียกว่าพิมพ์ “เกศคด” องค์ที่เกศหักในกรุ เพราะชำรุดตามอายุ ทำให้เกศเหลือสั้นเลยเรียกว่าพิมพ์ “เกศบัวตูม” แต่ความจริงแล้วเป็นพระที่สร้างเกศยาวตรงตามแบบองค์ที่สมบูรณ์มาก ๆ นั้นเอง มือของพระท่ากระดานจะมีลักษณะหนาเป็นเอกลักษณ์ของพระอู่ทอง
พระท่ากระดานเป็นพระที่สร้างให้มีใบหน้าชัดเจนทั้งตา ทั้งจมูกปากและหู ประกอบกับพระท่ากระดานทำจากเนื้อตะกั่ว เมื่อมีอายุนานเข้าตะกั่วจะเกิดสนิมแดงส่วนที่นูนเด่นจะมีลักษณะแดงเข้ม เลยทำให้พระท่ากระดานบางองค์ เกิดมีสนิมแดงเข้มที่บริเวณลูกตาทั้งสองข้างเพราะเป็นส่วนที่นูนมาก เลยทำให้ดูคล้ายกับว่าพระท่ากระดานจะมีตาเป็นสีแดงเข้ม จนทำให้บางคนเข้าใจว่า พระท่ากระดานต้องตาแดงและเกศคดจนบางท่านเรียกติดปากว่า พระท่ากระดานต้องเกศคดตาแดง” ซึ่งความจริงเกิดขึ้นบางองค์เท่านั้น และเป็นเพราะสนิมของวัสดุที่นำมาทำพระท่ากระดานนั่นเอง พระท่ากระดานเป็น พระที่สร้างในยุคอู่ทองสันนิษฐานกันว่าผู้ที่สร้างพระท่ากระดานก็คือผู้เรืองเวทย์ซึ่งเป็นฆราวาสมิใช่พระสงฆ์หรือผู้ที่เราเรียกกัน ว่า “ฤาษี” ในยุคโบราณ เพราะเป็นการสันนิษฐานจากแผ่นจารึกลานทองของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุและของสุ โขทัยซึ่งมีคาบเกี่ยวกับอู่ทองคือจารึกแผ่นลานเงินของวัดบรมธาตุกำแพงเพชร กล่าวถึงการสร้างพระเครื่อง ของบรรดาพระฤาษีทั้งหลาย 11 ตนที่สร้างพระเครื่องมีฤาษีอยู่ 3 ตน ที่ถือเป็นใหญ่ ก็คือ ฤาษีพิลาลัย ฤาษีตาไฟ ฤาษีตาวัว และก็ันนิษฐานกันว่าผู้ที่สร้างพระท่ากระดานก็คือ ฤาษีตาไฟ โดยการอาราธนาของเจ้าเมือง “ท่ากระดาน” เมื่อสร้างแล้วก็นำมาบรรจุไว้ในอารามสำคัญ ในเมืองท่ากระดาน เมืองศรีสวัสดิ์ และเมืองกาญจนบุรีเก่าในยุคนั้น กำเนิดของพระท่ากระดาน ครั้งแรกได้ถูกค้นพบที่ “กรุถ้ำลั่นทม” เป็นแห่งแรก กรุนี้อยู่ห่าง จากตัวจังหวัดกาญจนบุรี ประมาณ 70 ก.ม. อยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำแควใหญ่ มิได้อยู่ในเขตตำบลท่ากระดานพระจากกรุนี้พบในบริเวณถ้ำ บริเวณหน้าถ้ำมีเจดีย์โบราณอยู่หลายองค์ พระที่ถูกค้นพบมีอยู่ด้วยกันหลายร้อยองค์ และพบแม่พิมพ์ของพระท่ากระดานพร้อมกับเศษตะกั่วที่มีสนิมแดงเกิดขึ้นอีกมากมาย ทำให้สันนิษฐานว่าบริเวณถ้ำลั่นทมนี้คือสถานที่สร้างพระท่ากระดาน และเป็นที่อยู่ของฤาษีผู้สร้างพระท่ากระดานในสมัยนั้น ในปี พ.ศ. 2495 – 2496 ได้มีการขุดพบพระท่ากระดานอีก กรุวัดเหนือ (วัดบน) วัดกลาง และวัดใต้ (วัดล่าง) ที่ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ พระที่ถูกค้นพบมีมากพอสมควร คือมีจำนวนรวมกันและประมาณหลายร้อยองค์ พระที่ค้นพบในบริเวณสามวัดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพระที่มีการปิดทองทุกองค์และ ด้านหลังจะเป็นร่องหรือแอ่งลึกแทบทุกองค์ พระจะมีสนิมแดงเข้มดูสวยงาม พระที่ถูกค้นพบในยุคนั้นที่ถือว่าสวยและสมบูรณ์มากก็คือวัดกลาง ซึ่งมีผู้เรียกวัดนี้ว่า “วัดท่ากระดาน” นั้น เองในเวลาต่อมาวัดเหนือหรือวัดบนและวัดใต้หรือวัดล่างได้ถูกน้ำกัดเซาะทำ ให้ตลิ่งพังวัดทั้งสองจึงพังทลายลงสู่ลำน้ำทั้งสองวัดเพราะบริเวณวัดตั้ง อยู่ริมน้ำที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือวัดกลางหรือวัดท่ากระดานเท่านั้น ในปี พ.ศ. 2506 ได้มีการขุดค้นพบพระท่ากระดานอีก ที่บริเวณวัด “นาสวน” (วัดต้นโพธิ์) อยู่เหนือที่ว่าการอำเภอศรีสวัสดิ์เล็กน้อย เป็นบริเวณพระอารามร้าง ในการพบในครั้งนั้นได้พระท่ากระดานจำนวนไม่มากนักคือจำนวนไม่กี่สิบองค์ วัด ที่ได้กล่าวในข้างต้นนั้น ทั้งหมดอยู่ในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ อาจกล่าวได้ว่าพระเหล่านั้น นักนิยมพระเครื่องมักเรียกว่าพระกรุเก่า หรือกรุศรีสวัสดิ์ ทั้งสิ้น นอกเหนือจากการขุดค้นพบบริเวณอำเภอศรี สวัสดิ์ ยังมีการขุดค้นพบที่บริเวณ “วัดหนองบัว” ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลหนองบัว อำเภอเมืองกาญจนบุรีอีก พบจากการปฏิสังขรณ์พระอารามได้พระท่ากระดานประมาณ 90 องค์ เมื่อปี พ.ศ. 2497 ต่อมาในปี พ.ศ. 2506 ได้มีการพบพระท่ากระดานอีกเป็นจำนวนมากที่ “วัดเหนือ” (วัดเทวะสังฆาราม) ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โดยทางวัดได้ทำการเจาะพระเจดีย์องค์ประธานเพื่อที่จะบรรจุพระ 25 พุทธศตวรรษ ก็พบไหโบราณซึ่งบรรจุพระท่ากระดานและได้พบพระอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก เช่น พระขุนแผนสนิมแดงห้าเหลี่ยม พระท่ากระดานหูช้าง และพระอื่น ๆ อีกมาก วัดเทวะสังฆาราม (วัดเหนือ) ถือว่าเป็นวัดที่พบพระท่ากระดานที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะพระจะอยู่ในไหและเป็นพระที่สมบูรณ์มากที่สุด ใน ปี พ.ศ. 2507 ได้มีการพบพระท่ากระดานอีกมากที่ “วัดท่าเสา” ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี นอกจากนั้นยังค้นพบพระท่ากระดานน้อย (พระท่าเสา) อีกจำนวนหนึ่งที่เข้าใจว่าเป็นพระยุคหลังกว่าพระท่ากระดานพิมพ์ใหญ่ ในปี พ.ศ. 2537 ได้มีการค้นพบพระท่ากระดานอีกบริเวณตำบลลาดหญ้าอีก แถวบริเวณใกล้ ๆ กับค่ายทหารกองพลที่ 9 พระที่ค้นพบในครั้งนั้นถือว่าสมบูรณ์มากแต่สนิมของพระท่ากระดานจะมีไขขาว คลุมเกือบทุกองค์และจะมีทองกรุปิดเกือบทุกองค์ จุดเด่นของพระกรุนี้จะมีเกศยาวกว่าทุกกรุ พระที่พบมีประมาร 50 กว่าองค์เท่านั้น ในปี พ.ศ. 2541 ได้มีการพบพระท่ากระดานได้ในถ้ำเขตอำเภอผาภูมิ พระที่พบจะมีลักษณะผิวพระจะไม่เรียบมีผิวขรุขระเกิดจากการพองของไขสนิม เพราะพระที่มีอยู่ในถ้ำจะชำรุดโดยเฉพาะคอจะหักเสียเป็นส่วนใหญ่ที่ไม่ สมบูรณ์มีไม่เกิน 20 องค์ ถือว่าเป็นพระที่เป็นการพบครั้งล่าสุด
ถ้าจะแยกเป็นกรุที่พบพระท่ากระดาน ก็พอจำแนกได้ดังต่อไปนี้
1. กรุถ้ำลั่นทม ปี พ.ศ. 2497 พบพระประมาณ 200 องค์
2. กรุเหนือ (กรุวัดบน) ปี พ.ศ. 2495 – 2496 พบพระประมาณ 300 – 400 องค์
3. กรุกลาง (วัดท่ากระดาน) ประมาณ 100 กว่าองค์ที่ ปี พ.ศ. 2495 – 2496
4. กรุใต้ (กรุวัดล่าง) ปี พ.ศ. 2495 – 2496 พบพระไม่ถึง 100 องค์
5. กรุวัดนาสวน (วัดต้นโพธิ์) ปี พ.ศ. 2506 ได้พบพระประมาณ 40 องค์
6. กรุวัดหนองบัว (วัดศรีอุปลาราม) ปี พ.ศ. 2497 ได้พบพระประมาณ 90 องค์
7. กรุวัดเหนือ (วัดเทวะสังฆาราม) ปี พ.ศ. 2506 พบพระท่ากระดานอยู่ในไห 29 องค์ พระท่ากระดานหูช้าง 800 องค์ พระขุนแผนสนิมแดงห้าเหลี่ยม 200 องค์ พระโคนสมอ 100 องค์ พระปรุหนัง 20 องค์
8. วัดท่าเสา ปี พ.ศ. 2507 ได้พระท่ากระดานไม่กี่สิบองค์ พระท่ากระดานน้อยจำนวนหลายร้อยองค์
9. บริเวณตำบลลาดหญ้าใกล้ ๆ กับ ค่ายทหารกองพลฯ ปี พ.ศ. 2537 ประมาณ 50 กว่าองค์
10 .บริเวณถ้ำในเขตอำเภอทองผาภูมิ ปี พ.ศ. 2541 พบพระประมาณ 80 องค์ ชำรุดเสียส่วนใหญ่ พระท่ากระดานถ้าไม่จำแนกเป็นกรุใหญ่ ๆ ได้ 2 กรุคือ กรุเก่าและกรุใหม่ “กรุเก่า” ก็คือพระที่ถูกค้นพบที่ถ้ำลั่นทมใน ปี พ.ศ. 2497 และค้นพบในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์คือ กรุบน, กรุกลาง, กรุล่างในปี พ.ศ. 2495 ถึงปี พ.ศ. 2496 และกรุวัดหนองบัวปี พ.ศ. 2497 “กรุใหม่” ก็คือกรุที่ถูกค้นพบที่วัดเหนือ (เทวะสังฆาราม), กรุนาสวน, กรุท่าเสา, กรุลาดหญ้า และกรุในถ้ำอำเภอทองผาภูมิ พระท่ากระดานนอกจากจะเป็นพระชั้น หนึ่ง ของจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ยังถูกจัดอยู่ในชุดเบญจยอดขุนพลซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ของพระเนื้อโลหะด้วย ถือว่าเป็นพระที่มีราคาเช่าหาสูง และพุทธคุณนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความขลังไม่ว่าทางแคล้วคลาดหรือคงกระพัน ชาตรีจนมีผู้กล่าวขานกันว่าพระท่ากระดานนั้นคือ “ขุนศึกแห่งลุ่มน้ำแม่กลองเลยทีเดียว” พระท่ากระดานไม่ว่าจะเป็น “พระกรุเก่า” หรือ “พระกรุใหม่” ถือว่าสร้างพร้อมกันต่างกันเพียงสถานที่พบและระยะเวลาการขุดค้นพบเท่านั้น เอง
พระท่ากระดานเป็นพระที่สร้างให้มีใบหน้าชัดเจนทั้งตา ทั้งจมูกปากและหู ประกอบกับพระท่ากระดานทำจากเนื้อตะกั่ว เมื่อมีอายุนานเข้าตะกั่วจะเกิดสนิมแดงส่วนที่นูนเด่นจะมีลักษณะแดงเข้ม เลยทำให้พระท่ากระดานบางองค์ เกิดมีสนิมแดงเข้มที่บริเวณลูกตาทั้งสองข้างเพราะเป็นส่วนที่นูนมาก เลยทำให้ดูคล้ายกับว่าพระท่ากระดานจะมีตาเป็นสีแดงเข้ม จนทำให้บางคนเข้าใจว่า พระท่ากระดานต้องตาแดงและเกศคดจนบางท่านเรียกติดปากว่า พระท่ากระดานต้องเกศคดตาแดง” ซึ่งความจริงเกิดขึ้นบางองค์เท่านั้น และเป็นเพราะสนิมของวัสดุที่นำมาทำพระท่ากระดานนั่นเอง พระท่ากระดานเป็น พระที่สร้างในยุคอู่ทองสันนิษฐานกันว่าผู้ที่สร้างพระท่ากระดานก็คือผู้เรืองเวทย์ซึ่งเป็นฆราวาสมิใช่พระสงฆ์หรือผู้ที่เราเรียกกัน ว่า “ฤาษี” ในยุคโบราณ เพราะเป็นการสันนิษฐานจากแผ่นจารึกลานทองของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุและของสุ โขทัยซึ่งมีคาบเกี่ยวกับอู่ทองคือจารึกแผ่นลานเงินของวัดบรมธาตุกำแพงเพชร กล่าวถึงการสร้างพระเครื่อง ของบรรดาพระฤาษีทั้งหลาย 11 ตนที่สร้างพระเครื่องมีฤาษีอยู่ 3 ตน ที่ถือเป็นใหญ่ ก็คือ ฤาษีพิลาลัย ฤาษีตาไฟ ฤาษีตาวัว และก็ันนิษฐานกันว่าผู้ที่สร้างพระท่ากระดานก็คือ ฤาษีตาไฟ โดยการอาราธนาของเจ้าเมือง “ท่ากระดาน” เมื่อสร้างแล้วก็นำมาบรรจุไว้ในอารามสำคัญ ในเมืองท่ากระดาน เมืองศรีสวัสดิ์ และเมืองกาญจนบุรีเก่าในยุคนั้น กำเนิดของพระท่ากระดาน ครั้งแรกได้ถูกค้นพบที่ “กรุถ้ำลั่นทม” เป็นแห่งแรก กรุนี้อยู่ห่าง จากตัวจังหวัดกาญจนบุรี ประมาณ 70 ก.ม. อยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำแควใหญ่ มิได้อยู่ในเขตตำบลท่ากระดานพระจากกรุนี้พบในบริเวณถ้ำ บริเวณหน้าถ้ำมีเจดีย์โบราณอยู่หลายองค์ พระที่ถูกค้นพบมีอยู่ด้วยกันหลายร้อยองค์ และพบแม่พิมพ์ของพระท่ากระดานพร้อมกับเศษตะกั่วที่มีสนิมแดงเกิดขึ้นอีกมากมาย ทำให้สันนิษฐานว่าบริเวณถ้ำลั่นทมนี้คือสถานที่สร้างพระท่ากระดาน และเป็นที่อยู่ของฤาษีผู้สร้างพระท่ากระดานในสมัยนั้น ในปี พ.ศ. 2495 – 2496 ได้มีการขุดพบพระท่ากระดานอีก กรุวัดเหนือ (วัดบน) วัดกลาง และวัดใต้ (วัดล่าง) ที่ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ พระที่ถูกค้นพบมีมากพอสมควร คือมีจำนวนรวมกันและประมาณหลายร้อยองค์ พระที่ค้นพบในบริเวณสามวัดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพระที่มีการปิดทองทุกองค์และ ด้านหลังจะเป็นร่องหรือแอ่งลึกแทบทุกองค์ พระจะมีสนิมแดงเข้มดูสวยงาม พระที่ถูกค้นพบในยุคนั้นที่ถือว่าสวยและสมบูรณ์มากก็คือวัดกลาง ซึ่งมีผู้เรียกวัดนี้ว่า “วัดท่ากระดาน” นั้น เองในเวลาต่อมาวัดเหนือหรือวัดบนและวัดใต้หรือวัดล่างได้ถูกน้ำกัดเซาะทำ ให้ตลิ่งพังวัดทั้งสองจึงพังทลายลงสู่ลำน้ำทั้งสองวัดเพราะบริเวณวัดตั้ง อยู่ริมน้ำที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือวัดกลางหรือวัดท่ากระดานเท่านั้น ในปี พ.ศ. 2506 ได้มีการขุดค้นพบพระท่ากระดานอีก ที่บริเวณวัด “นาสวน” (วัดต้นโพธิ์) อยู่เหนือที่ว่าการอำเภอศรีสวัสดิ์เล็กน้อย เป็นบริเวณพระอารามร้าง ในการพบในครั้งนั้นได้พระท่ากระดานจำนวนไม่มากนักคือจำนวนไม่กี่สิบองค์ วัด ที่ได้กล่าวในข้างต้นนั้น ทั้งหมดอยู่ในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ อาจกล่าวได้ว่าพระเหล่านั้น นักนิยมพระเครื่องมักเรียกว่าพระกรุเก่า หรือกรุศรีสวัสดิ์ ทั้งสิ้น นอกเหนือจากการขุดค้นพบบริเวณอำเภอศรี สวัสดิ์ ยังมีการขุดค้นพบที่บริเวณ “วัดหนองบัว” ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลหนองบัว อำเภอเมืองกาญจนบุรีอีก พบจากการปฏิสังขรณ์พระอารามได้พระท่ากระดานประมาณ 90 องค์ เมื่อปี พ.ศ. 2497 ต่อมาในปี พ.ศ. 2506 ได้มีการพบพระท่ากระดานอีกเป็นจำนวนมากที่ “วัดเหนือ” (วัดเทวะสังฆาราม) ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โดยทางวัดได้ทำการเจาะพระเจดีย์องค์ประธานเพื่อที่จะบรรจุพระ 25 พุทธศตวรรษ ก็พบไหโบราณซึ่งบรรจุพระท่ากระดานและได้พบพระอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก เช่น พระขุนแผนสนิมแดงห้าเหลี่ยม พระท่ากระดานหูช้าง และพระอื่น ๆ อีกมาก วัดเทวะสังฆาราม (วัดเหนือ) ถือว่าเป็นวัดที่พบพระท่ากระดานที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะพระจะอยู่ในไหและเป็นพระที่สมบูรณ์มากที่สุด ใน ปี พ.ศ. 2507 ได้มีการพบพระท่ากระดานอีกมากที่ “วัดท่าเสา” ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี นอกจากนั้นยังค้นพบพระท่ากระดานน้อย (พระท่าเสา) อีกจำนวนหนึ่งที่เข้าใจว่าเป็นพระยุคหลังกว่าพระท่ากระดานพิมพ์ใหญ่ ในปี พ.ศ. 2537 ได้มีการค้นพบพระท่ากระดานอีกบริเวณตำบลลาดหญ้าอีก แถวบริเวณใกล้ ๆ กับค่ายทหารกองพลที่ 9 พระที่ค้นพบในครั้งนั้นถือว่าสมบูรณ์มากแต่สนิมของพระท่ากระดานจะมีไขขาว คลุมเกือบทุกองค์และจะมีทองกรุปิดเกือบทุกองค์ จุดเด่นของพระกรุนี้จะมีเกศยาวกว่าทุกกรุ พระที่พบมีประมาร 50 กว่าองค์เท่านั้น ในปี พ.ศ. 2541 ได้มีการพบพระท่ากระดานได้ในถ้ำเขตอำเภอผาภูมิ พระที่พบจะมีลักษณะผิวพระจะไม่เรียบมีผิวขรุขระเกิดจากการพองของไขสนิม เพราะพระที่มีอยู่ในถ้ำจะชำรุดโดยเฉพาะคอจะหักเสียเป็นส่วนใหญ่ที่ไม่ สมบูรณ์มีไม่เกิน 20 องค์ ถือว่าเป็นพระที่เป็นการพบครั้งล่าสุด
ถ้าจะแยกเป็นกรุที่พบพระท่ากระดาน ก็พอจำแนกได้ดังต่อไปนี้
1. กรุถ้ำลั่นทม ปี พ.ศ. 2497 พบพระประมาณ 200 องค์
2. กรุเหนือ (กรุวัดบน) ปี พ.ศ. 2495 – 2496 พบพระประมาณ 300 – 400 องค์
3. กรุกลาง (วัดท่ากระดาน) ประมาณ 100 กว่าองค์ที่ ปี พ.ศ. 2495 – 2496
4. กรุใต้ (กรุวัดล่าง) ปี พ.ศ. 2495 – 2496 พบพระไม่ถึง 100 องค์
5. กรุวัดนาสวน (วัดต้นโพธิ์) ปี พ.ศ. 2506 ได้พบพระประมาณ 40 องค์
6. กรุวัดหนองบัว (วัดศรีอุปลาราม) ปี พ.ศ. 2497 ได้พบพระประมาณ 90 องค์
7. กรุวัดเหนือ (วัดเทวะสังฆาราม) ปี พ.ศ. 2506 พบพระท่ากระดานอยู่ในไห 29 องค์ พระท่ากระดานหูช้าง 800 องค์ พระขุนแผนสนิมแดงห้าเหลี่ยม 200 องค์ พระโคนสมอ 100 องค์ พระปรุหนัง 20 องค์
8. วัดท่าเสา ปี พ.ศ. 2507 ได้พระท่ากระดานไม่กี่สิบองค์ พระท่ากระดานน้อยจำนวนหลายร้อยองค์
9. บริเวณตำบลลาดหญ้าใกล้ ๆ กับ ค่ายทหารกองพลฯ ปี พ.ศ. 2537 ประมาณ 50 กว่าองค์
10 .บริเวณถ้ำในเขตอำเภอทองผาภูมิ ปี พ.ศ. 2541 พบพระประมาณ 80 องค์ ชำรุดเสียส่วนใหญ่ พระท่ากระดานถ้าไม่จำแนกเป็นกรุใหญ่ ๆ ได้ 2 กรุคือ กรุเก่าและกรุใหม่ “กรุเก่า” ก็คือพระที่ถูกค้นพบที่ถ้ำลั่นทมใน ปี พ.ศ. 2497 และค้นพบในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์คือ กรุบน, กรุกลาง, กรุล่างในปี พ.ศ. 2495 ถึงปี พ.ศ. 2496 และกรุวัดหนองบัวปี พ.ศ. 2497 “กรุใหม่” ก็คือกรุที่ถูกค้นพบที่วัดเหนือ (เทวะสังฆาราม), กรุนาสวน, กรุท่าเสา, กรุลาดหญ้า และกรุในถ้ำอำเภอทองผาภูมิ พระท่ากระดานนอกจากจะเป็นพระชั้น หนึ่ง ของจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ยังถูกจัดอยู่ในชุดเบญจยอดขุนพลซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ของพระเนื้อโลหะด้วย ถือว่าเป็นพระที่มีราคาเช่าหาสูง และพุทธคุณนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความขลังไม่ว่าทางแคล้วคลาดหรือคงกระพัน ชาตรีจนมีผู้กล่าวขานกันว่าพระท่ากระดานนั้นคือ “ขุนศึกแห่งลุ่มน้ำแม่กลองเลยทีเดียว” พระท่ากระดานไม่ว่าจะเป็น “พระกรุเก่า” หรือ “พระกรุใหม่” ถือว่าสร้างพร้อมกันต่างกันเพียงสถานที่พบและระยะเวลาการขุดค้นพบเท่านั้น เอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น