วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ตลาดพระเครื่อง uamulet g-pra web-pra การันตีพระเครื่อง ขาย เช่า บูชา พระเครื่อง ศูนย์พระเครื่องพระเกจิ อาจารย์ทั่วไทย

หากท่านเป็นหนึ่งที่สนใจศึกษาพระเครื่องของไทย มาวันนี้ผมขอแนะนำเว็บไซต์พระเครื่องชั้นนำของไทย ศูนย์รวมพระเครื่อง ตลาดพระเครื่อง ขายพระเครื่อง เช่าบูชาพระเครื่อง เว็บไซต์พระเครื่องชั้นนำแห่งนี้ก็คือ uamulet, g-pra และ web-pra เป็นต้น แหล่งรวมความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับพระเครื่องของไทย ซึ่งถ่ายทอดมาจากเซียนพระเครื่องชั้นนำของไทย อาทิเช่น อุ๊ กรุงสยาม, บอย ท่าพระเครื่อง และ ป๋อง สุพรรณ เป็นต้น ท่านใดที่กำลังสนใจศึกษาแนวทางพระเครื่องของไทย สามารถเข้าไปศึกษาและเลือกชมพระเครื่องต่างๆ ได้ที่ http://www.prakammatanputtoe.com/uamulet-web-g-pra/

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เฟอร์นิเจอร์ไม้สัก เฟอร์นิเจอร์ไม้สักแพร่ ผลิตและจำหน่าย เฟอร์นิเจอร์ไม้สัก ส่งตรงจากจังหวัดแพร่

เฟอร์นิเจอร์ไม้สักแพร่ ศูนย์รวมอาณาจักรแห่งเฟอร์นิเจอร์ไม้สัก สินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดแพร่ ผลิตและจำหน่าย เฟอร์นิเจอร์ไม้สักตามแบบทุกรูปแบบ รับสั่งทำ ประตู หน้าต่าง วงกบ ตู้ โต๊ะ เตียง และเฟอร์นิเจอร์ไม้สักทุกชนิด โดยช่างฝีมือดีและใช้ไม้สักทองมีคุณภาพในการผลิต เป็นผลิตภัณฑ์จากไม้สักคุณภาพเกรดเอ ไม่ต้องกังวลรอยแตกของไม้ ส่งตรงถึงบ้านท่านจากเฟอร์นิเจอร์ไม้สักแพร่ดอทคอม

เข้าชมสินค้าได้ที่ www.เฟอร์นิเจอร์ไม้สักแพร่.com

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

งานเชียงใหม่ หางานเชียงใหม่ จัดหางานเชียงใหม่ ตำแหน่งงานว่างเชียงใหม่

หากท่านเป็นคนหนึ่งที่มองหางานดีๆ สักที่หนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เราขอแนะนำที่นี่เลย งานเชียงใหม่ หางานเชียงใหม่ ศูนย์รวมตำแหน่งงานว่างเชียงใหม่ หรือเดินทางไปที่จัดหางานเชียงใหม่ เพื่อค้นหาตำแหน่งงานว่างเชียงใหม่ สำหรับคนที่หางานเชียงใหม่ ซึ่งได้รวมตำแหน่งงานเชียงใหม่และตำแหน่งงานว่างในเชียงใหม่ ทุกงานที่ท่านมองหามีรวมไว้ที่นี่แล้ว ค้นหาได้เลยสำนักจัดหางานเชียงใหม่ หรือ คลิกที่นี่ เพื่อเข้าสู่เว็บไซต์

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

พระล้านนา พระเครื่องล้านนา พระเครื่อง webpra-uamulet เว็บ พระ เครื่อง ล้านนา

พระเครื่อง webpra-uamulet เว็บพระเครื่องล้านนา พระล้านนา ตำนานแห่งพระเครื่องล้านนา ศูนย์รวมพระเกจิอจารย์ชื่อดังแห่งล้านนาไทย อาทิเช่น หลวงพ่อเกษม เขมโก พระสายวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ยึดติดแม้แต่สถานที่ ท่านได้ปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ตลอดชนชีพ เป็นพระที่เป็นที่เคารพสักการะของคนในจังหวัดลำปางและทั่วประเทศ ท่านปฏิบัติศีลบริสุทธิ์ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ติดยึดในกิเลสทั้งปวง ต่อมาคือ ครูบาศรีวิชัย หรือ พระศรีวิชัยชนะภิกขุ นักบุญแห่งพระล้านนาไทย พระมหาเถระ ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สร้างถนนทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ และอีกหนึ่งท่าน คือ ครูบาพรหมมา พรหมจักโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า จังหวัดลำพูน ครูบาพรหมจักรองค์นี้ ก็คือ เจ้าคุณนรแห่งล้านนา เราดีๆนี่เอง จะว่าไปแล้วพระเครื่องล้านนาของเรา ก็มีเยอะแตกแขนงออกไปอีกเช่นกัน มีทั้งพระกรุล้านนา พระเหรียญล้านนา ซึ่งล้วนเป็นศิลปะแห่งพระล้านนาของเราทั้งสิ้น

เข้าสู่หน้าเว็บไซต์เพื่อเลือกชมพระเครื่องทั้งหมดได้ที่ http://www.webpra-uamulet.com/all-prd.php

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

หางานลำพูน งานลำพูน ตำแหน่งงานว่างลำพูน จัดหางานลำพูน งานราชการลำพูน สมัครงานลำพูน หางาน ลำพูน

JOBLAMPHUN.COM หางานลำพูน สำนักจัดหางานลำพูน ศูนย์รวมตำแหน่งงานว่างจังหวัดลำพูน จัดหางานลำพูน งานราชการลำพูน สมัครงานลำพูน หา งานลำพูน เว็บจัดหางาน แหล่งรวมตำแหน่งงานว่างของจังหวัดลำพูน ที่ใหญ่ที่สุด

เข้าสู่เว็บไซต์ http://www.joblamphun.com

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

ร้านพระเครื่อง พระกรรมฐานอมตะ พระกรรมฐานอมตะดอทคอม

ร้านพระเครื่อง พระกรรมฐานอมตะดอทคอม ศูนย์รวมพระบูชา พระกรุ พระเนื้อดิน พระเนื้อชิน พระเนื้อผง เหรียญเกจิดังต่างๆ
และเครื่องรางของขลังเกจิดังต่างๆ ทั่วฟ้าเมืองไทย บริการให้ท่านเช่าบูชาราคายุติธรรม รับประกันแท้ ไม่มีเก๊

เข้าชมเว็บไซต์ ==> http://www.prakammatanputtoe.com/ummata/index.php

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พระเครื่อง ร้านพระเครื่อง ตลาดพระเครื่อง ราคาพระเครื่อง ชมรมพระเครื่อง ศูนย์พระเครื่อง เช่าพระเครื่อง

พระเครื่อง
ชมรมพระเครื่อง ศูนย์พระเครื่อง ราคากลางพระเครื่อง

ร้านพระเครื่อง

ราคาปัจจุบันพระเครื่อง พระเครื่องราคากลาง ตลาดพระเครื่อง พระเครื่องติดรางวัล ดัชนีราคาพระเครื่อง พระเครื่องราคาถูก เช่าพระเครื่อง พระเครื่องเมืองลุง พระเครื่องเมืองนคร เปิดโลกพระเครื่อง พระกรรมฐานพระเครื่อง

เข้าชมหน้าเว็บไซต์ของร้านค้าได้ที่ http://www.prakammatanputtoe.com

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

ร้านพระเครื่อง พระกรรมฐานพุทโธดอทคอม พระกรรมฐาน พระเครื่อง ร้านพระเครื่องออนไลน์ ตลาดพระเครื่อง

ร้านพระเครื่อง พระกรรมฐานพุทโธดอทคอมศูนย์รวมพระกรรมฐาน พระเครื่อง ร้านพระเครื่องออนไลน์ ตลาดพระเครื่อง สอบถามราคาพระเครื่อง ประมูลพระเครื่อง โชว์พระเครื่อง พระเครื่องเมืองไทย พระเครื่องเมืองสยาม สำหรับเช่าบูชาราคาถูก รับประกันของแท้ไม่มีเก้ ยินดีคืนเงินเต็มหากไม่พอใจในสินค้า

พระล้านนา ร้านพระเครื่องล้านนาดอทคอม พระเครื่อง พระบูชา อันดับหนึ่งของไทย

พระล้านนา

ร้านพระเครื่องล้านนาดอทคอม ศูนย์รวมร้านพระเครื่องคุณภาพ พระกรุและพระพุทธรูป พระเกจิอาจารย์ล้านนา พระเกจิอาจารย์ทั่วไป แอนติคเครื่องรางและของสะสม สำหรับเช่าบูชาราคาถูก รับประกันของแท้ไม่มีเก้ ยินดีคืนเงินเต็มหากไม่พอใจในสินค้า

เชิญเยี่ยมชมเว็บไซต์ คลิกที่นี่เพื่อเข้าสู่เว็บไซต์

พระเครื่องล้านนา

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

พระล้านนา ตำนานพระล้านนา 10 อันดับพระกรุล้านนายอดนิยม

ตำนานพระล้านนา 10 อันดับพระกรุล้านนายอดนิยม ที่มา : พระล้านนา โดย...น้อย  ไอยรา 
1. พระรอดวัดมหาวัน ลำพูน หนึ่งในห้า ชุดเบญจภาคี พระในฝันของนักสะสมทุกระดับ ครองอันดับหนึ่งพระกรุุล้านนายอดนิยมมานาน ถ้าเทียบราคาซื้อขายกันในปัจจุบันนี้ น่าจะเป็นอันดับสอง รองจากพระสมเด็จ วัดระฆังฯ จักรพรรดิแห่งพระเครื่องของประเทศไทย 


อ่านต่อได้ที่ http://www.prakammatanputtoe.com/board/board.php?id=000287

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หลวงปู่ครูบาครอง ขตฺติโย

หลวงปู่ครูบาครอง ขตฺติโย (พระกรรมฐาน)
ในปีพศ. ๒๕๑๒ นสพ.รายวันหลายฉบับเสนอข่าววิศวกรชาวเกาหลี ที่มาคุมงานสร้างทางสายลำปาง ถูกลอบยิงแต่ไม่เข้าปรากฎว่าในตัวของเขานั้นปราศจากพระเครื่องของหลวงปู่หลวงพ่อใดๆ มีเพียงแก้วโป่งข่าม  อ.เถิน อยู่เม็ดเดียว ข่าวนี้ทำให้คนทั่วประเทศรู้จัก อ.เถิน ในฐานะเป็นดินแดนแห่งโป่งข่ามอันศักด์สิทธิ์ ขณะเดียวกันก่อนช่วงเวลานั้น แถบบ้านท่าอุดมอันไม่ไกลจากแหล่งโป่งข่ามเท่าใดนัก ก็มีพระอริยสงฆ์รูปหนึ่ง ได้ละทิ้งความสะดวกสบาย นั่งบำเพ็ญฌาณอยู่ในป่าลึกจนถึงปัจจุบันนานกว่า ๖๐ ปี ทำให้เกิดอภิญญาจิตอย่างสูงไม่แตกต่างใดๆกับหลวงพ่อเกษม เขมโก เทพเจ้าองค์เก่าของชาวลำปาง พระอริยสงฆ์รูปดังกล่าวนี้คือ หลวงปู่ครูบาครอง ขตฺติโย อีกหนึ่งในความศักดิ์สิทธิ์ ของ อ.เถิน และเทพเจ้าองค์ใหม่จ.ลำปาง
ประวัติหลวงปู่ครูบาครอง
หลวงปู่ครูบาครองปัจจุบัน อายุ๘๙ ปี๖๙พรรษา(นับเฉพาะบวชพระ)เกิดวันที่ ๓ สค.๒๔๖๓เป็นลูกคนโต ของพ่อซาว แม่น้อย จากบุตรทั้งหมด๔คน บวชเณรตอนอายุ๑๖โดยพระครูพุทธวงศ์(ก๋วน) เกจิดังวัดแม่ปะหลวง ตุ๊ลุงของท่านเป็นผู้บรรพชาและบวชพระเมื่ออายุ๒๐ปีโดยพระครูรักขิตคุณ(ต๋า) วัดอุมลอง เกจิอาจารย์อีกองค์หนึ่งของ อ.เถิน เป็นพระอุปํชฌาย์ จำพรรษา ณ.วัดท่ามะเกว๋น เมื่อท่านบวชเณรแล้วได้ศึกษาอักขระล้านนาและศึกษาการปฏิบัติเบื้องต้นกับตุ๊ ลุงของท่าน จนบวชเป็นพระแล้วก็เริ่มศึกษากับพระอุปํชฌาย์และหนานหลายคนหลังจากนั้นจึง ออกเดินรุกขมูลร่ำเรียนไปทั่วภาคเหนือ จนเกือบ๑๐พรรษาจึงกลับมายังบ้านท่าอุดม โดยปักกลดอยู่ในป่าลึกจากวัดเข้าไปมาก พอพี่น้องลูกหลานท่านทราบถึงการกลับมาของหลวงปู่ครูบาครองก็เกิดความปิติ ดีใจรีบเดินทางไปนิมนต์ท่านกลับเข้าวัดท่ามะเกว๋น แต่ท่านปฏิเสธเนื่องจากไม่ต้องการพบความวุ่นวายของโลกอีกต่อไป อยากอยู่บำเพ็ญฌานสมาบัติโดยลำพังเพียงรูปเดียวในป่านี้
ทันทีที่ลูกหลานทราบวัตถุประสงค์ของหลวงปู่ฯ ก็ได้ร่วมกันปลูกเพิงพักให้ท่านได้ปฏิบัติธรรมตามเจตนา หลวงปู่ครูบาครองจึงได้อยู่ป่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจวบจนปัจจุบัน รวมกว่า ๖๐ปี

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ข้อมูลลึกๆ การสร้างหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน

พระรูปหล่อ พระกรรมฐาน หลวงพ่อเงิน บางคลาน จ.พิจิตร จัดเป็นพระรูปหล่อเกจิ องค์แรกสุด ได้รับความนิยมสูงสุดราคาแพงที่สุด และประวัติการสร้างที่คลุมเครือสับสนมากที่สุด
ในวงการสากลและสื่อพระเครื่องส่วนกลาง ในระบอบพุทธพาณิชย์ ยอมรับกันว่า
พระรูปหล่อหลวงพ่อเงิน พิมพ์ขี้ตา สร้างขึ้นเป็นชุดแรก ที่ บางคลาน พิจิตร
ตามด้วยรูปหล่อพิมพ์นิยม ซึ่งยอมรับกันว่า สร้างโดยช่างบ้านช่างหล่อ และมาทำพิธีหล่อที่วัดชนะสงคราม (ข้อมูลจาก อ.เล็ก รูปหล่อ)
ต่อจากนั้น(พระกรรมฐาน) เป็นเหรียญจอบเล็ก สร้างโดย คุณยายวัณ ช่างฝีมือดีแห่งบ้านช่างหล่อ ส่วนเหรียญจอบใหญ่ เป็นพระโรงงาน ที่โรงงานหล่อรูปเหมือนเท่าองค์จริงหลวงพ่อเงิน สร้างมาให้วัด เพื่อให้วัดออกเช่าบูชาชดเชยการขาดทุนจากการ จ้างหล่อรูปเหมือน ( บางคนเรียกว่ารุ่นล้างหนี้ )
ตามข้อมูล ยอมรับกันว่า พระเหล่านั้น มีการสร้างเพียงอย่างละครั้งเดียว เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่มีเสริมนอกจากนั้น สื่อวงการพระเครื่อง มักจะเน้นการเล่าประวัติอภินิหาร ของหลวงพ่อเงิน โดยละเอียดยิบ มีคำพูดโต้ตอบราวกับหนังกำลังภายใน แต่ในทางตรงกันข้าม กลับละเลย ประวัติ การจัดสร้างพระเครื่อง ของ หลวงพ่อเงิน
นั่นอาจจะเป็นเพราะการหาข้อยุติ ไม่ได้ประการหนึ่ง และ จะยิ่งสร้างความสับสนคลุมเครือ ให้เพิ่มขึ้นอีกประการหนึ่ง (พระกรรมฐาน)
โดยความสนใจส่วนตัว ผมพยายาม ติดตามสืบเสาะ ประวัติการจัดสร้าง วัตถุมงคลของหลวงพ่อเงิน และโดยส่วนตัว เห็นว่า หนังสือของ อ. ชัยรัตน์ โมไนยพงศ์ แห่งค่ายลานโพธิ์ เป็นหนังสือที่ น่าเชื่อถือ น่าสนใจมากที่สุด เพราะท่านได้ใช้เวลาในการ สืบเสาะ ค้นคว้าประวัติและวัถุมงคลของหลวงพ่อเงิน ทั้งจากหลักฐานเอกสารและการลงพื้นที่) สัมภาษณ์ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ นับแต่พ.ศ. 2518-2526 จึงตีพิมพ์หนังสือเป็นรูปเล่ม และมีการปรับปรุงใหม่ ในปี 2535
อ่านต่อได้ที่ : http://www.prakammatanputtoe.com/board/board.php?id=000160
ที่มา : http://www.amulet2u.com/board/q_view.php?c_id=7&q_id=8193&PHPSESSID=8c66862fad6fae79a

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พระท่ากระดาน

พระท่ากระดาน เป็นพระที่ถูกสร้างในสมัยอู่ทอง คือประมาณปี พ.ศ. 1800 ถึง พ.ศ. 2031 เป็นพระเครื่องที่มีปฎิมากรรมแบบ แบน นูนสูง คือมีภาพด้านหน้าด้านเดียว ด้านหลังแบนเรียบ และจะเน้นส่วนนูนสูงและส่วนลึก พระท่ากระดานเป็นพระปฏิมาปางวิชัย ขัดราบมีสังฆาฏิแบบสี่เหลี่ยมกว้าง หนายาวจรดลงมา มีฐานหนาซึ่งเรียกว่าฐานสำเภาซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระยุคอู่ทอง พระเกศยาว ใบหน้าลึกลักษณะคล้ายยิ้มแบบเครียด ๆ เป็นลักษณะแบบอู่ทองเกศยาวทุกองค์และตรงขึ้นไป เกี่ยวกับอายุมากและอยู่ใต้ดินถูกทับถมเลยทำให้ปลายเกศซึ่งมีความบอบบงอาจ หักชำรุด หรือคดงอ เลยทำให้ปลายเกศของพระท่ากระดานมีหลายลักษณะ คือเกศยาวตรง เลยเรียกว่า “พิมพ์เกศตรง” ส่วนเกศที่คดไปคดมาเพราะเกิดจากการบิดงอหรือถูกทับบิดไปเลยเรียกว่าพิมพ์ “เกศคด” องค์ที่เกศหักในกรุ เพราะชำรุดตามอายุ ทำให้เกศเหลือสั้นเลยเรียกว่าพิมพ์ “เกศบัวตูม” แต่ความจริงแล้วเป็นพระที่สร้างเกศยาวตรงตามแบบองค์ที่สมบูรณ์มาก ๆ นั้นเอง มือของพระท่ากระดานจะมีลักษณะหนาเป็นเอกลักษณ์ของพระอู่ทอง
พระท่ากระดานเป็นพระที่สร้างให้มีใบหน้าชัดเจนทั้งตา ทั้งจมูกปากและหู ประกอบกับพระท่ากระดานทำจากเนื้อตะกั่ว เมื่อมีอายุนานเข้าตะกั่วจะเกิดสนิมแดงส่วนที่นูนเด่นจะมีลักษณะแดงเข้ม เลยทำให้พระท่ากระดานบางองค์ เกิดมีสนิมแดงเข้มที่บริเวณลูกตาทั้งสองข้างเพราะเป็นส่วนที่นูนมาก เลยทำให้ดูคล้ายกับว่าพระท่ากระดานจะมีตาเป็นสีแดงเข้ม จนทำให้บางคนเข้าใจว่า พระท่ากระดานต้องตาแดงและเกศคดจนบางท่านเรียกติดปากว่า พระท่ากระดานต้องเกศคดตาแดง” ซึ่งความจริงเกิดขึ้นบางองค์เท่านั้น และเป็นเพราะสนิมของวัสดุที่นำมาทำพระท่ากระดานนั่นเอง พระท่ากระดานเป็น พระที่สร้างในยุคอู่ทองสันนิษฐานกันว่าผู้ที่สร้างพระท่ากระดานก็คือผู้เรืองเวทย์ซึ่งเป็นฆราวาสมิใช่พระสงฆ์หรือผู้ที่เราเรียกกัน ว่า “ฤาษี” ในยุคโบราณ เพราะเป็นการสันนิษฐานจากแผ่นจารึกลานทองของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุและของสุ โขทัยซึ่งมีคาบเกี่ยวกับอู่ทองคือจารึกแผ่นลานเงินของวัดบรมธาตุกำแพงเพชร กล่าวถึงการสร้างพระเครื่อง ของบรรดาพระฤาษีทั้งหลาย 11 ตนที่สร้างพระเครื่องมีฤาษีอยู่ 3 ตน ที่ถือเป็นใหญ่ ก็คือ ฤาษีพิลาลัย ฤาษีตาไฟ ฤาษีตาวัว และก็ันนิษฐานกันว่าผู้ที่สร้างพระท่ากระดานก็คือ ฤาษีตาไฟ โดยการอาราธนาของเจ้าเมือง “ท่ากระดาน” เมื่อสร้างแล้วก็นำมาบรรจุไว้ในอารามสำคัญ ในเมืองท่ากระดาน เมืองศรีสวัสดิ์ และเมืองกาญจนบุรีเก่าในยุคนั้น กำเนิดของพระท่ากระดาน ครั้งแรกได้ถูกค้นพบที่ “กรุถ้ำลั่นทม” เป็นแห่งแรก กรุนี้อยู่ห่าง จากตัวจังหวัดกาญจนบุรี ประมาณ 70 ก.ม. อยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำแควใหญ่ มิได้อยู่ในเขตตำบลท่ากระดานพระจากกรุนี้พบในบริเวณถ้ำ บริเวณหน้าถ้ำมีเจดีย์โบราณอยู่หลายองค์ พระที่ถูกค้นพบมีอยู่ด้วยกันหลายร้อยองค์ และพบแม่พิมพ์ของพระท่ากระดานพร้อมกับเศษตะกั่วที่มีสนิมแดงเกิดขึ้นอีกมากมาย ทำให้สันนิษฐานว่าบริเวณถ้ำลั่นทมนี้คือสถานที่สร้างพระท่ากระดาน และเป็นที่อยู่ของฤาษีผู้สร้างพระท่ากระดานในสมัยนั้น ในปี พ.ศ. 2495 – 2496 ได้มีการขุดพบพระท่ากระดานอีก กรุวัดเหนือ (วัดบน) วัดกลาง และวัดใต้ (วัดล่าง) ที่ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ พระที่ถูกค้นพบมีมากพอสมควร คือมีจำนวนรวมกันและประมาณหลายร้อยองค์ พระที่ค้นพบในบริเวณสามวัดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพระที่มีการปิดทองทุกองค์และ ด้านหลังจะเป็นร่องหรือแอ่งลึกแทบทุกองค์ พระจะมีสนิมแดงเข้มดูสวยงาม พระที่ถูกค้นพบในยุคนั้นที่ถือว่าสวยและสมบูรณ์มากก็คือวัดกลาง ซึ่งมีผู้เรียกวัดนี้ว่า “วัดท่ากระดาน” นั้น เองในเวลาต่อมาวัดเหนือหรือวัดบนและวัดใต้หรือวัดล่างได้ถูกน้ำกัดเซาะทำ ให้ตลิ่งพังวัดทั้งสองจึงพังทลายลงสู่ลำน้ำทั้งสองวัดเพราะบริเวณวัดตั้ง อยู่ริมน้ำที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือวัดกลางหรือวัดท่ากระดานเท่านั้น ในปี พ.ศ. 2506 ได้มีการขุดค้นพบพระท่ากระดานอีก ที่บริเวณวัด “นาสวน” (วัดต้นโพธิ์) อยู่เหนือที่ว่าการอำเภอศรีสวัสดิ์เล็กน้อย เป็นบริเวณพระอารามร้าง ในการพบในครั้งนั้นได้พระท่ากระดานจำนวนไม่มากนักคือจำนวนไม่กี่สิบองค์ วัด ที่ได้กล่าวในข้างต้นนั้น ทั้งหมดอยู่ในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ อาจกล่าวได้ว่าพระเหล่านั้น นักนิยมพระเครื่องมักเรียกว่าพระกรุเก่า หรือกรุศรีสวัสดิ์ ทั้งสิ้น นอกเหนือจากการขุดค้นพบบริเวณอำเภอศรี สวัสดิ์ ยังมีการขุดค้นพบที่บริเวณ “วัดหนองบัว” ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลหนองบัว อำเภอเมืองกาญจนบุรีอีก พบจากการปฏิสังขรณ์พระอารามได้พระท่ากระดานประมาณ 90 องค์ เมื่อปี พ.ศ. 2497 ต่อมาในปี พ.ศ. 2506 ได้มีการพบพระท่ากระดานอีกเป็นจำนวนมากที่ “วัดเหนือ” (วัดเทวะสังฆาราม) ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โดยทางวัดได้ทำการเจาะพระเจดีย์องค์ประธานเพื่อที่จะบรรจุพระ 25 พุทธศตวรรษ ก็พบไหโบราณซึ่งบรรจุพระท่ากระดานและได้พบพระอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก เช่น พระขุนแผนสนิมแดงห้าเหลี่ยม พระท่ากระดานหูช้าง และพระอื่น ๆ อีกมาก วัดเทวะสังฆาราม (วัดเหนือ) ถือว่าเป็นวัดที่พบพระท่ากระดานที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะพระจะอยู่ในไหและเป็นพระที่สมบูรณ์มากที่สุด ใน ปี พ.ศ. 2507 ได้มีการพบพระท่ากระดานอีกมากที่ “วัดท่าเสา” ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี นอกจากนั้นยังค้นพบพระท่ากระดานน้อย (พระท่าเสา) อีกจำนวนหนึ่งที่เข้าใจว่าเป็นพระยุคหลังกว่าพระท่ากระดานพิมพ์ใหญ่ ในปี พ.ศ. 2537 ได้มีการค้นพบพระท่ากระดานอีกบริเวณตำบลลาดหญ้าอีก แถวบริเวณใกล้ ๆ กับค่ายทหารกองพลที่ 9 พระที่ค้นพบในครั้งนั้นถือว่าสมบูรณ์มากแต่สนิมของพระท่ากระดานจะมีไขขาว คลุมเกือบทุกองค์และจะมีทองกรุปิดเกือบทุกองค์ จุดเด่นของพระกรุนี้จะมีเกศยาวกว่าทุกกรุ พระที่พบมีประมาร 50 กว่าองค์เท่านั้น ในปี พ.ศ. 2541 ได้มีการพบพระท่ากระดานได้ในถ้ำเขตอำเภอผาภูมิ พระที่พบจะมีลักษณะผิวพระจะไม่เรียบมีผิวขรุขระเกิดจากการพองของไขสนิม เพราะพระที่มีอยู่ในถ้ำจะชำรุดโดยเฉพาะคอจะหักเสียเป็นส่วนใหญ่ที่ไม่ สมบูรณ์มีไม่เกิน 20 องค์ ถือว่าเป็นพระที่เป็นการพบครั้งล่าสุด
ถ้าจะแยกเป็นกรุที่พบพระท่ากระดาน ก็พอจำแนกได้ดังต่อไปนี้
1. กรุถ้ำลั่นทม ปี พ.ศ. 2497 พบพระประมาณ 200 องค์
2. กรุเหนือ (กรุวัดบน) ปี พ.ศ. 2495 – 2496 พบพระประมาณ 300 – 400 องค์
3. กรุกลาง (วัดท่ากระดาน) ประมาณ 100 กว่าองค์ที่ ปี พ.ศ. 2495 – 2496
4. กรุใต้ (กรุวัดล่าง) ปี พ.ศ. 2495 – 2496 พบพระไม่ถึง 100 องค์
5. กรุวัดนาสวน (วัดต้นโพธิ์) ปี พ.ศ. 2506 ได้พบพระประมาณ 40 องค์
6. กรุวัดหนองบัว (วัดศรีอุปลาราม) ปี พ.ศ. 2497 ได้พบพระประมาณ 90 องค์
7. กรุวัดเหนือ (วัดเทวะสังฆาราม) ปี พ.ศ. 2506 พบพระท่ากระดานอยู่ในไห 29 องค์ พระท่ากระดานหูช้าง 800 องค์ พระขุนแผนสนิมแดงห้าเหลี่ยม 200 องค์ พระโคนสมอ 100 องค์ พระปรุหนัง 20 องค์
8. วัดท่าเสา ปี พ.ศ. 2507 ได้พระท่ากระดานไม่กี่สิบองค์ พระท่ากระดานน้อยจำนวนหลายร้อยองค์
9. บริเวณตำบลลาดหญ้าใกล้ ๆ กับ ค่ายทหารกองพลฯ ปี พ.ศ. 2537 ประมาณ 50 กว่าองค์
10 .บริเวณถ้ำในเขตอำเภอทองผาภูมิ ปี พ.ศ. 2541 พบพระประมาณ 80 องค์ ชำรุดเสียส่วนใหญ่ พระท่ากระดานถ้าไม่จำแนกเป็นกรุใหญ่ ๆ ได้ 2 กรุคือ กรุเก่าและกรุใหม่ “กรุเก่า” ก็คือพระที่ถูกค้นพบที่ถ้ำลั่นทมใน ปี พ.ศ. 2497 และค้นพบในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์คือ กรุบน, กรุกลาง, กรุล่างในปี พ.ศ. 2495 ถึงปี พ.ศ. 2496 และกรุวัดหนองบัวปี พ.ศ. 2497 “กรุใหม่” ก็คือกรุที่ถูกค้นพบที่วัดเหนือ (เทวะสังฆาราม), กรุนาสวน, กรุท่าเสา, กรุลาดหญ้า และกรุในถ้ำอำเภอทองผาภูมิ พระท่ากระดานนอกจากจะเป็นพระชั้น หนึ่ง ของจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ยังถูกจัดอยู่ในชุดเบญจยอดขุนพลซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ของพระเนื้อโลหะด้วย ถือว่าเป็นพระที่มีราคาเช่าหาสูง และพุทธคุณนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความขลังไม่ว่าทางแคล้วคลาดหรือคงกระพัน ชาตรีจนมีผู้กล่าวขานกันว่าพระท่ากระดานนั้นคือ “ขุนศึกแห่งลุ่มน้ำแม่กลองเลยทีเดียว” พระท่ากระดานไม่ว่าจะเป็น “พระกรุเก่า” หรือ “พระกรุใหม่” ถือว่าสร้างพร้อมกันต่างกันเพียงสถานที่พบและระยะเวลาการขุดค้นพบเท่านั้น เอง

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พระร่วงหลังรางปืน

พระร่วงหลังรางปืน พระร่วงหลังรางปืนสนิมแดง แตกกรุออกมาประมาณไม่น้อยกว่า 48 ปี จากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุบริเวณหน้าพระปรางค์องค์ใหญ่จำนวนไม่เกิน 200 องค์ มีจำนวนกว่าครึ่งที่ชำรุดเสียพระร่วงหลังรางปืนเป็นศิลปะเขมรยุคปลายซึ่งอยู่ในราว ค.ส. ที่ 13 เข้าใจว่าเมื่อขอมเรืองอำนาจได้ปกครองพื้นที่ในบริเวณนั้นจึงได้สร้างพระ พิมพ์ไว้ก็คือพระร่วงพิมพ์นี้นี่เอง พระพุทธลักษณะเป็นพระยืนปรางประทานพรอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ลักษณะของยอดซุ้มเป็นลายกนกแบบซุ้มกระจังเรือนแก้ว ด้านหลังองค์พระเป็นลักษณะพิเศษคือมีร่องกดลึกลงไปทำให้ด้านหลังเป็นร่อง ยาวตามองค์พระ นักนิยมพระเครื่องในสมัยก่อนมักเรียกว่าพระร่วงหลังกาบหมาก ต่อมาได้มีผู้นำพระพิมพ์นี้ไปใช้ทำให้แคล้วคลาดจากภยันตรายจากปืน แต่มีผู้สันทัดอีกกลุ่มหนึ่งอ้างว่าเพราะด้านหลังองค์พระที่เป็นร่องกาบ หมากนั้นลักษณะคล้ายร่องปืนแก็ปเลยเรียกกันว่า “หลังรางปืน”
พระร่วงหลังรางปืน จัดอยู่ในชุดพระยอดขุนพลหนึ่งในห้าอันดับยอดเยี่ยมของพระประเภทเนื้อชิน ซึ่งหาได้ยากยิ่งในกระบวนพระชุดยอดขุนพลทั้งหมด ส่วนราคาเช่าหาจัดว่าสูงที่สุดในประเภทนี้ ส่วนทางด้านพุทธคุณนั้นถือว่าครบเครื่อง คือ อำนาจ แคล้วคลาด โภคทรัพย์ เมตตามหานิยม และคงกระพันชาตรี
พระร่วงหลังรางปืน นอกจากจะจัดให้เป็นจักพรรดิ์แห่งพระเนื้อชินแล้ว ยังเป็นพระที่หายากยิ่งเพราะฉะนั้นของเทียมเลียนแบบจึงมีมากมายนัก ถ้าหากท่านใดที่มีของแท้อยู่ในมือต้องหวงแหนมากที่สุดเพราะท่านมีหนึ่งใน สองร้อยองค์ของพระทั้งหมด
พระร่วงหลังรางปืน นั้นสร้างด้วยวัสดุเป็นเนื้อตะกั่วส่วนใหญ่ เนื้อชินมีน้อยมาก แต่ไม่ปรากฏว่าพบเนื้อดินเลย ผิวขององค์พระบางองค์จะสีแดงเข้ม บางองค์จะออกสีลูกหว้า แต่ลักษณะพิเศษจะมีไขมากกว่าพระร่วงกรุอื่น ๆ ขนาดองค์จริงสูงประมาณ 8 ซม. กว้างประมาณ 2.5 ซม.
พระร่วงหลังรางปืนมีทั้งหมดด้วยกัน 5 พิมพ์ คือ
1. พิมพ์ใหญ่ฐานสูง
2. พิมพ์ใหญ่ฐานเตี้ย
3. พิมพ์แก้มปะ
4. พิมพ์หน้าหนุ่ม
5. พิมพ์เล็ก

วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พระหูยาน

พระหูยาน ถ้าพูดถึงพระพิมพ์นั่งของเมืองลพบุรีแล้ว อันดับหนึ่งต้องยกให้พระหูยานเมืองลพบุรี ถ้าเป็นพระพิมพ์ยืนอันดับหนึ่งก็ต้องพะร่วงหลังลายผ้า พระหูยานต้นกำเนิดอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แตกกรุออกมาครั้งแรกเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเราเรียกว่า “พระกรุเก่า” พระที่แตกออกมาครั้งแรกนั้นจะมีผิวสีดำมีปรอทขาวจับอยู่ตามซอกขององค์พระ เล็กน้อย ถ้าผ่านการใช้ผิวปรอทก็จะหายไป ต่อมาก็มีแตกออกมาบ้างแต่ก็ไม่มาก จนกระทั่งปี พ.ศ. 2508 ก็มีแตกกรุออกมาอีกเป็นจำนวนมาก ที่บริเวณเจดีย์องค์เล็กหน้าองค์พระปรางค์ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งเราเรียกกันว่า “กรุใหม่”
มีบางท่านสันนิษฐานว่าพระหูยานกรุเก่า กับพระหูยานกรุใหม่นั้นสร้างคนละครั้งคือ กรุเก่าสร้างก่อน กรุใหม่สร้างทีหลัง แต่กระผมคิดว่า ถ้าพระสร้างกันคนละครั้งนั้น พิมพ์กับตำหนิต่าง ๆ ของพระจะต้องแตกต่างกันไป แต่นี่พระพระกรุเก่ากับกรุใหม่เป็นพระบล๊อคเดียวกันทุกอย่าง และจากสถานที่พบแตกต่างกันได้ บางท่านอาจค้านว่า คงจะนำแม่พิมพ์เก่ามาทำพระใหม่นั้นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะถ้าแม่พิมพ์พระเป็นเนื้อสัมฤทธิ์แล้วเมื่อทิ้งไว้นานก็จะเกิดสนิมกัด กินจนกร่อน เมื่อนำมาทำใหม่พระก็จะไม่สมบูรณ์ย่อมมีตำหนิตามที่สนิมกินแม่พิมพ์ แต่พระกรุใหม่กลับมีความคมชัด เรียกว่าคมชัดกว่าพระกรุเก่าด้วยซ้ำไป แต่ถ้าแม่พิมพ์เป็นดินหรือวัสดุอื่น ก็จะมีการผุกร่อนตามกาลเวลา จะทำให้องค์พระคมชัดไม่ได้ ถ้าแกะบล๊อคใหม่ขนาดขององค์พระ หรือตำหนิต่าง ๆ ก็ต้องเพี้ยนไปกว่าเดินแน่นอน
พระหูยานที่แตกกรุออกมานั้น มีด้วยกันหลายพิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ (เรียกกันว่าพิมพ์ใหญ่หน้ายักษ์) พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก พิมพ์บัวสองชั้น พิมพ์รัศมีบัวสองชั้น และพิมพ์จิ๋วแต่มีน้อยมาก ถ้าพูดถึงด้านพุทธคุณแล้วพระหูยานนั้นโด่งดังมากในด้าน คงกระพันชาตรี ตามแบบฉบับของขอม และด้านเมตตานั้นก็ไม่เป็นรองใคร นอกจากพระหูยาน จะพบที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แล้วยังปรากฏว่าพบที่ วัดอินทาราม และที่วัดปืนด้วย แต่เป็นคนละพิมพ์กัน ด้านพุทธคุณนั้นเหมือนกันทุกกรุ อายุของพระหูยานนั้น ประมาณการสร้าง 700 กว่าปี แต่ถ้าเป็นกรุของวัดปืนแล้ว อายุจะน้อยกว่าของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเล็กน้อย

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

พระชินราช ใบเสมา

พระชินราช ใบเสมา เป็นพระที่กำเนิดที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือวัดใหญ่ เป็นพระศิลปะแบบอู่ทองยุคต้น สันนิษฐานว่าผู้ที่สร้างก็คือ “พระมหาธรรมราชาลิไท” พระมหากษัตริย์ของกรุงสุโขทัยเมื่อครั้งครองเมืองพิษณุโลก
พระชินราช ใบเสมา เป็นพระที่กำเนิดที่วัดใหญ่และเป็นวัดเดียวกันกับพระพุทธชินราชองค์ใหญ่ ซึ่งเป็นพระประธานของวัด จึงนำพระนามของท่านมาเป็นชื่อของพระเครื่องที่ขุดค้นพบ ก็คือพระชินราชใบเสมานั่นเอง
สาเหตุที่เรียกว่า “ใบเสมา” ก็เพราะองค์พระนั่งประทับอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ที่มีลักษณะคล้ายใบเสมาที่อยู่รองโบสถ์ จึงนำสันฐานรูปร่างของใบเสมามาเป็นชื่อพระอีกด้วย พระชินราช ใบเสมา แตกกรุออกมาเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2440 ในสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ได้มีประชาชนนำทูลเกล้าถวาย พระองค์ก็นำมาแจกจ่ายให้แก่พสกนิกรที่ติดตามอย่างถ้วนหน้า นอกจากจะพบที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุแล้วยังมีผู้พบที่กรุอื่นอีก คือ กรุพระปรางค์ กรุอัฏฐารส กรุเขาสมอแดง กรุพหรมพิราม และที่กรุเขาพนมเพลิง แต่ความนิยมอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุมากที่สุด พระที่ถูกค้นพบมีชนิดเนื้อชินเงิน เนื้อสำริด เนื้อดิน เนื้อชินเขียว มีบางท่านเคยบอกเล่าว่าเคยพบเนื้อทองคำด้วย แต่ว่าน้อยมากแทบจะไม่มีให้เห็นในวงการฯ
พระชินราช ใบเสมา เป็นพระเครื่องที่สร้างศิลปะแบบอู่ทองยุคต้น เพราะฉะนั้นพระพักต์ของท่านจึงดูเข้มคล้ายกับยิ้มเครียด ๆ แฝงไปด้วยความมีอำนาจ โดยเฉพาะพระศก หรือเส้นผม จะทำลักษณะให้เป็นเส้น ๆ แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของพระพิมพ์นี้เลยทีเดียว
พระชินราช ใบเสมา ที่ค้นพบมีด้วยกันหลายพิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ฐานสูง พิมพ์ใหญ่ฐานเตี้ย พิมพ์กลางฐานสูง พิมพ์กลางฐานเตี้ย พิมพ์เล็กฐานสูงและเตี้ย ปัจจุบันพระชินราชใบ เสมา ถือว่าเป็นพระเนื้อชินที่เป็นพระหลักและหายาก ส่วนราคาจึงจัดว่าสูงมากพอสมควรส่วนทางด้านพุทธคุณนั้น สูงทางด้านแคล้วคลาด เมตตาและความมีอำนาจ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องปกครองดูแลผู้คนควรจะมีติดตัวไว้สักองค์หนึ่ง

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

พระมเหศวร

พระมเหศวร เป็น พระเครื่องเนื้อชินชั้นนำที่สุดของจังหวัดสุพรรณบุรี มีเฉพาะที่กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุแห่งเดียว พุทธลักษณะของพระมเหศวรเป็นพระปางสะดุ้งมารจะมี 2 หน้า แต่ละหน้าเศียรองค์พระจะสวนกัน จึงทำให้คนในสมัยก่อนเรียกว่า “พระสวน” แต่ต่อมาจึงเรียกเพี้ยนกันว่า “พระมเหศวร” มิใช่นำชื่อของจอมโจรชื่อดังในสมัยก่อนมาเป็นชื่อพระ เพราะคำว่า “มเหศวร” มีมาก่อนจอมโจรชื่อดังคนนี้ เข้าใจว่าจอมโจรชื่อดังจะเอาชื่อ “พระมเหศวร” มาเป็นชื่อตัวเองมากกว่า

พระมเหศวร ที่พบมีประมาณ 24 แบบ แต่ที่แบ่งแยกออกมาเป็นพิมพ์จะได้ 5 พิมพ์ คือ
1. พระมเหศวรพิมพ์ใหญ่
2. พระมเหศวรพิมพ์กลา
3. พระมเหศวรพิมพ์เล็ก
4. พระสวนเดี่ยว
5. พระสวนตรง
พระมเหศวรที่พบส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อชินเงินเกือบทั้งหมด ที่เป็นชินเขียวก็มีแต่เข้าใจว่าเป็นพระยุคหลังสร้างล้อของเก่าที่เป็น เนื้อชินเงิน
พระมเหศวร ควรจัดเป็นพระชั้นนำของกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ได้ถูกสร้างพร้อมกับพระผงสุพรรณที่เลื่องลือโดย “ฤาษีพิมพ์พิลาไลย” เพราะฉะนั้นพุทธคุณจึงเยี่ยมยอดเหมือนพระผงสุพรรณเลยทีเดียว คือ มีเมตตามหานิยมแคล้วคลาดมหาอุต โดยเฉพาะด้านคงกระพันชาตรี ถือว่าสุดยอดที่สุด
พระมเหศวร เป็นพระศิลปะแบบ “อู่ทอง” ผู้ที่มีไว้ในครอบครองถือว่านอกจากได้พระที่เปี่ยมไปด้วยพุทธคุณ ยังได้พระที่มีศิลปะล้ำค่าในครอบครองอีกด้วย ปัจจุบันจัดเป็นพระที่มีราคาสูง และจัดอยู่ 1 ใน 5 ยอดขุนพลประเภทเนื้อชินของประเทศไทย

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

การเจริญพระกรรมฐาน

ขอเจริญพรบรรดาญาติพี่น้องพุทธบริษัท ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ทุกท่าน ในวันนี้เป็นวันธรรมสวนะ วันพระอุโบสถ เป็นวันที่เรารวมกันเพื่อแสวงหาธรรมะ ให้พบพระในจิตใจของท่าน ถ้าพบพระเมื่อใดใจจะประเสริฐเมื่อนั้น จิตใจก็เยือกเย็น แปลว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นพระ
การเจริญพระกรรมฐานต้องการพบพระ ต้องการมีพระประจำกาย ประจำใจ ต้องการมีความสุข เจริญรุ่งเรืองในชีวิตของท่าน ถ้าท่านไม่ปฏิบัติธรรม จะไม่พบพระที่แท้จริง จะพบพระปลอม นุ่งเหลือง ห่มเหลือง หาใช่พระของเราไม่ ท่านมีพระประจำใจท่านจะมีแต่เมตตาปรานี ปรารถนาดี และมีแต่ความสงสารซึ่งกันและกัน แสดงความยินดีแก่ผู้สร้างความดี มีแต่ความวางเฉยในเรืองกิเลสนานาประการ คือ อุเบกขาภาวนา ไม่ใช่ใครทำดีทำชั่วก็เฉย อุเบกขาอย่างนี้ไม่ถูกต้อง
วันนี้จะชี้แจงให้ท่านเข้าใจในเรื่อง เจริญพระกรรมฐานได้อะไร เจริญพระกรรมฐานจะพบพระตรงไหน และพระกรรมฐานจะแก้กรรมได้ไหม พระกรรมฐานจะไปหาเวรหากรรมอีกต่อไปไหม ถ้าเจริญกรรมฐานได้จริง หมดเวรหมดกรรมแน่ ท่านจะหมดเวรหมดกรรมที่ทำไว้ ขอติดตามฟังสืบไป ณ โอกาสบัดนี้
ท่านสาธุชนที่รักทั้งหลาย ที่ท่านขวนขวายมาที่วัดนี้ ท่านต้องการอะไรบ้าง วัตถุประสงค์ของท่านมีอะไร อาตมาถามหลายคณะแล้ว ตอบไม่ถูกเลย ต้องการจะนั่งกรรมฐานไปสวรรค์ไปนิพพาน มันจะเอื้อมสูงเกินไป ไปบวชชีพราหมณ์ก็มารวมกัน วิทยากรหลายท่านบรรยายกันเป็นวัน นั่งฟังกันจนตาปรือ นั่งฟังกันหลับจนอ่อนอกอ่อนใจ ท่านจะได้อะไรบ้างไหม เลยกลายเป็นคนรู้มาก แต่เสียดายที่ไม่รู้จริง คนรู้มากมีเยอะ พูดตรงไหนรู้หมด ญาณโน้นญาณนี้รู้หมด แต่ตัวเองไม่มีแม้แต่ญาณเดียว เรียกว่ารู้มาก ไม่ใช่รู้จริง รู้จริงต้องทำ รู้จำต้องท่อง รู้แจ้งถึงจิต มีสติสัมปชัญญะควบคุมจิตอยู่ตลอดเวลาถึงจะรู้จริง การเจริญพระกรรมฐานต้องการความจริงใจ ต้องการจะรู้ว่าเราน่ะเป็นคนจริงไหม เราจะเข้าข้างตัวเองเสมอว่าเราเป็นคนดี ไม่มีใครบอกว่าตัวเองเป็นคนชั่ว เราจะทราบได้จากการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าท่านมาแต่ฟังเขาบรรยาย ไม่ได้ปฏิบัติ ฟังเขาพูดญาณกัน รู้ถึงญาณ ๑๖ เดินจงกรมถึงระยะ ๖ มันก็รู้มากไปอย่างนั้น แต่ไม่รู้จริงที่จะแก้ไขกรรม เพราะความตื้นลึกหนาบางของกฎแห่งกรรมอยู่ในตัวท่านมาก ครั้งอดีตชาติมาท่านสร้างเวรกรรมตามสนองมีอะไรบ้าง ท่านจะมิทราบเลยถ้ามัวแต่ฟัง
การเจริญพระกรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ทางสายเอกของพระพุทธเจ้านี้ไม่ค่อยมีใครสอน การเจริญพระกรรมฐานต้องการเจริญมรรค ๘ ได้แก่ เจริญศีล สมาธิ ปัญญา ที่เรานั่งเจริญภาวนากัน แล้วหาเหตุที่มาของกรรม คือ ทุกข์ เราจะพบ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ อริยสัจ ๔ ทุกข์เกิดขึ้นแล้วเราก็หาเหตุของทุกข์ได้ และเราจะแก้ไขทุกข์ด้วยตรงเหตุนั้น ต้องแก้ให้ถูกจุด เกาให้ถูกที่คันจะได้หายคัน เปรียบเทียบให้ท่านเข้าใจ ถ้าเราพบพระแล้ว จะขยันหมั่นเพียรเรียนหนังสือ จะขยันหมั่นเพียรประกาบอาชีพการงาน จะกระตือรือร้นในการสร้างความดีขึ้นมา และท่านจะไม่เบียดเบียนทรัพย์สินเงินทอง จะไม่ขี้โกงขี้เม้มแต่ประการใด เพราะมีพระประจำจิตประจำใจแล้วมันเกิดแสงสว่าง

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

พระเครื่องเบญจภาคี ชุด พระสมเด็จวัดระฆัง

ประวัติการสร้าง พระสมเด็จวัดระฆัง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
การ สร้างพระเครื่องไว้เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนานั้น ได้มีมาตั้งแต่สมัยทวารวดี ราวปีพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ ต่อมาท่านโบราณจารย์ผู้เชี่ยวชาญฉลาดได้ประดิษฐ์คิดสร้างพระเครื่อง ด้วยรูปแบบต่างๆนานาตามแต่จะเห็นว่างาม นอกจากนั้นแล้งยังได้บรรจุพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ตลอดจนพระปริตรและหัวใจพระพุทธมนต์อีกมากมายหลายแบบด้วยกัน และการสร้างพระเครื่องนั้น นิยมสร้างให้มีจำนวนครบ ๘๔,๐๐๐ องค์ ตามจำนวนพระธรรมขันธ์อีกด้วย
ดังนั้น ในชมพูทวีปและแม้แต่ประเทศไทยเราเอง ปรากฏว่ามีพระเครื่องอย่างมากมาย เพราะท่านพุทธศาสนิกชนได้สร้างสืบต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย และในบรรดาพระเครื่องจำนวนมากด้วยกันแล้ว ท่านยกย่องให้พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี ซึ่งสร้างโดยท่านเจ้าประคุณพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี ) เป็นยอดแห่งพระเครื่อง และได้รับถวายสมญานามว่าเป็น ราชาแห่งพระเครื่อง อีกด้วย ปฐมเหตุซึ่งพระสมเด็จของท่านเจ้าประคุณสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม ได้รับการ ยกย่องเช่นนั้น อาจจะเป็นด้วยรูปแบบของพระสมเด็จเป็นพระเครื่ององค์แรกซึ่งสร้างเป็น รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างทรงเลขาคณิต ส่วนองค์พระและฐานนั้นเล่า ท่านได้จำลองแบบและย่อมาจากองค์พระประธานจากพระอุโบสถเพียงองค์เดียวเท่า นั้น ปราศจากอัครสาวกซ้ายขวาองค์พระจึงดูโดดเด่นอย่างเป็นเอกรงค์ สำหรับซุ้มเรือนแก้วอันเป็นปริมณฑลนั้นเล่า ท่านได้จำลองแบบอย่างมาจากครอบแก้ว (ครอบแก้วพระพุทธรูป) และถึงจะเป็นรูปแบบอย่างง่ายๆปราศจากส่วนตกแต่งแต่อย่างใดเลยก็ตามทีต้อง ยอมรับว่าเป็นความงามที่ลงตัวอย่างหาที่ติมิได้เลย  นอกจากรูปแบบอันงดงาม ของพระสมเด็จดังกล่าวแล้ว ศรัทธาและความเลื่อมใสของนักสะสมพระเครื่องอันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วคง จะมาจากคุณวิเศษอันเป็นมหัศจรรย์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี ) ผู้ประติมากรรมพระสมเด็จเป็นอันดับสอง ซึ่งมีผู้กล่าวเล่ากันฟังอย่างน่าศรัทธาในความเป็นปราชญ์ของท่าน ดังสดับรับฟังมาขอถ่ายทอดสู่ท่านผู้อ่านดังนี้
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี )
วัดระฆังโฆสิตาราม
 ผู้เป็นอมตเถระ  ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี ) วัดระฆังโฆสิตารา  บางกอกน้อย ธนบุรี นามเดิมว่า โต ได้รับฉายา พฺรหฺมรํสี ถือกำเนิดตอนเช้าตรู่ ของวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๓๑ จุลศักราช ๑๑๕๐ ในรัชกาลที่ ๑ บ้านไก่จ้น ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มารดาชื่อ เกศ เป็นชาวบ้าน ตำบลท่าอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์
ใน ขณะที่ท่านยังเป็นเด็กนอนแบเบาะอยู่นั้น มารดาได้ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่ตำบลไชโย จังหวัดอ่างทอง แต่พอท่านจำเริญวัยพอนั่งยืนได้ มารดาได้ย้ายมาอยู่ที่ตำบลบางขุนพรหม จังหวัดพระนคร เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งสถาน ที่ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับประวัติชีวิตของท่านนั้น ท่านจึงได้สร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ไว้หลายองค์ เช่น สร้างพระพุทธไสยาสน์ ที่วัดสะตือ ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับวัดไก่จ้น ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้าง พระมหาพุทธพิมพ์ ที่วัดไชยโย อำเภอไชยโย จังหวัดอ่างทอง และสร้างพระศรีอาริยเมตไตรย ไว้ที่วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพฯ เป็นต้น  สมัยเมื่อท่านยังเป็นเด็ก ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯได้เรียนหนังสือในสำนักของท่านเจ้าคุณอรัญญิก (ด้วง) วัดอินทรวิหาร เดิมชื่อว่าวัดบางขุนพรหมนอก ส่วนวัดบางขุนพรหมในก็คือวัดบางขุนพรหมในปัจจุบันนี้ พออายุได้ ๑๒ ขวบ ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร และได้ย้ายมาอยู่ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี  เมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯได้เข้ามาศึกษาทางด้านพระปริยัติธรรม ณ วัดระฆังโฆสิตารามแล้ว ปรากฏว่า การศึกษาของท่านได้รับการชมเชยจากพระอาจารย์อยู่เสมอว่า ความจำความเฉียวฉลาด ปราดเปรื่อง ปฏิภาณไหวพริบของท่านนั้นเป็นเลิศหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยาก ท่านเรียนรู้พระปริยัติธรรม ได้อย่างที่เรียกว่า รู้แจ้งแทงตลอด นอกจากท่านจะได้ ศึกษาในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (นาค) วัดระฆังโฆสิตารามแล้ว ท่านยังได้ไปฝากตัวศึกษา ทางด้านปริยัติและด้านปฏิบัติกับสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน ณ วัดมหาธาตุ  นอกจากทางด้านปริยัติท่านจะได้ศึกษาอย่างรู้แจ้งรู้จบแล้ว ท่านยังได้หันไปศึกษา ทางด้านปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสารกับสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน อาจารย์รูปหนึ่งทางด้านปริยัติธรรมของท่าน ซึ่งในขณะนั้นท่านก็มีชื่อเสียงโด่งดังทางปฏิบัติอยู่ก่อนแล้ว อาจารย์ทางด้านวิปัสสนาธุระของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯนอกจากสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน แล้งก็มีเจ้าคุณอรัญญิก วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม โดยเฉพาะสมณศักดิ์อรัญญิก ซึ่งแปลว่าป่า ย่อมจะเป็นที่แจ้งชัดแล้วว่าท่านเป็นผู้ชำนาญทางปฏิบัติ เพราะตำแหน่งนี้ เป็นตำแหน่งของด้านวิปัสสนาธุระอยู่แล้ว ยังมีเจ้าคุณบวรวิริยเถร วัดสังเวชวิศยาราม บางลำพู และท่านอาจารย์แสง วัดมณีชลขันธ์ ลพบุรี ผู้โด่งดังทางด้านปฏิบัติและเก่งกล้าทางพุทธาคมอีกด้วย โดยที่สามเณรโต ท่านเป็นผู้มักน้อย สันโดษ และไม่มีความทะเยอทะยานในลาภยศสรรเสริญ ทั้งๆที่ท่านเป็นผู้ที่เรียนรู้ในพระปริยัติธรรมและมีความเชี่ยวชาญถ่องแท้ ในพระไตรปิฎกเป็นอย่างดี แต่สามเณรโตท่านก็หาได้เข้าสอบเป็นเปรียญไม่  นอกจากท่านจะมีความเชี่ยวชาญในด้านปริยัติธรรมดังกล่าวแล้ว ท่านยังมีความสามารถในการเทศน์ได้ไพเราะและมีความคมคายที่จับจิตจับใจท่าน ผู้ฝังมาแต่ครั้งท่านเป็นสามเณรอยู่ก่อนแล้วเรื่องนี้เป็นที่เล่าลือขจร ขจายไปทั่วทิศและด้วยเหตุสามเณรโตเป็นนักเทศน์ เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ร.๒) ตั้งแต่ครั้งยังทรงเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงโปรดปราณเป็นอย่างมาก ถึงกับพระราชทานเรือกัญญาหลังคากระแชงไว้ให้ใช้ และทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์อีกด้วย
ส่วนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระเมตตาสามเณรโตไม่น้อยเหมือนกัน ทรงโปรดให้สามเณรโตเป็นนาคหลวงและอุปสมบทในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วย  ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงแต่งตั้งในท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ให้เป็นพระราชาคณะ แต่ทว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯได้ทูลขอตัวเสีย ด้วยเหตุที่กลัวพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานสมณศักดิ์ ให้ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงได้ถือธุดงควัตรไปตามจังหวัดที่ห่างไกลเป็นการเร้นตัวไปในที
สืบต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๔) โปรดเกล้าฯพระราชทานสมณศักดิ์ในคราวนี้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯไม่ขัดพระราช ประสงค์ อาจจะเป็นด้วยท่านชราภาพลงมากคงจะจาริกไปในที่ห่างไกลไม่ไหวแล้ว เพราะตอนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๔) พระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่พระธรรมกิติ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๕ นั้นท่านมีอายุได้ ๖๕ ปีเข้าไปแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นพระองค์ท่านได้ทรงผนวชมาแต่พระชนมา ยุได้ ๒๑ พรรษา และได้ทรงศึกษาด้านวิปัสสนาธุระ ณ วัดราชาธิวาส จนจบสิ้นตำรับตำรา ทรงมีความรอบรู้อย่างแท้ จนไม่มีครูบาอาจารย์รูปอื่นใดจะสามารถอธิบายให้กว้างขวางต่อไปได้อีก จึงได้ทรงระงับการศึกษาทางด้านวิปัสสนาธุระไว้เพียงนั้น พอออกพรรษาก็เสด็จมาประทับ ณ วัดมหาธาตุก็ทรงหันมาศึกษาทางฝ่ายปริยัติธรรม โดยได้เริ่มศึกษาภาษาบาลีเพื่ออ่านและแปลพระไตรปิฎก ทรงค้นคว้าหาความรู้โดยลำพังพระองค์เอง ทรงขะมักเขม้นศึกษาอยู่ (๒) ปี ก็รอบรู้ภาษาบาลีอย่างกว้างขวาง ผิดกับผู้อื่นที่ไม่เคยศึกษามา
เมื่อ กิตติศัพท์ทราบถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าให้เสด็จฯเข้าแปลพระปริยัติธรรมถวายตามหลักสูตรเปรียญในเวลา นั้นพระองค์ทรงแปลอยู่ ๓ วัน ก็ปรากฏว่าแปลได้หมดจนจบชั้นเปรียญเอก จึงพระราชทานพัดยศสำหรับเปรียญเอก ๙ ประโยคให้ ทรงถือเป็นสมณศักดิ์ต่อมา  ฉะนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานสมณศักดิ์ให้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯจึงเข้าทำนองปราชญ์ย่อมเข้าใจ ปราชญ์
ด้วย เหตุฉะนี้กระมังพระองค์จึงโปรดและมีพระมหากรุณาธิคุณต่อท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต ) วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นพิเศษ บางโอกาสแม้ว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จะแสดงข้ออรรถข้อธรรมอันลึกซึ้งที่ขัดพระทัยอยู่บ้างก็ทรงอภัยให้เสมอ มีเรื่องเล่าว่า เมื่อออกพรรษาเป็นเทศกาลทอดกฐินพระราชทาน พระองค์ทรงโปรดให้อารามหลวง ในเขตกรุงเทพมหานครจุดการตกแต่งเรือเพื่อการประกวดประชันในด้านความงามและ ความคิด
เมื่อขบวนเรือประกวดล่องผ่านพระที่นั่งเป็นลำดับๆซึ่งล้วนแต่ตกแต่งด้วยพันธุ์บุปผานานาชนิดสวยงามยิ่งนัก  ครั้นมาถึงเรือประกวดของวัดระฆังโฆสิตารามเท่านั้น เป็นเรือจ้นเก่าๆลำหนึ่ง ที่หัวเรือมีธงสีเหลืองทำขึ้นจากจีวรพระ มีลิงผูกอยู่กับเสาธง ที่กลางเรือมีท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯนอนเอกเขนกอยู่เท่านั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นเท่านั้นก็เสด็จขึ้นทันที แล้วตรัสว่า ขรัวโตเขาไม่ยอมเล่นกับเรา แต่ก็ทรงทราบด้วยพระปรีชาว่า การที่ขรัวโตประพฤติเช่นนั้นทำเป็นปริศนาให้ทรงทราบว่า ความจริงแล้วพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างท่านนั้นไม่ได้สะสมทรัพย์สินเงินทองแต่ อย่างใด มีเพียงอัฐบริขารเท่าที่จำเป็นเท่านั้น จะจัดหาสิ่งของเอามาตกแต่งเรือให้สวยงามได้อย่างไร คงมีแต่จีวรที่แต่งแต้มสีสันกับสัตว์เลี้ยงคือลิงที่มักแลลิ้นปลิ้นตา ดังวลีที่ว่าการกระทำเช่นนั้นความจริงแล้วมันเหมือนกับทำตัวเป็น ลิงหลอกเจ้า นั่นเองแต่พระองค์ก็ทรงอภัยโทษหาได้โกรธขึ้งไม่ การกระทำเช่นนั้น ถ้าเป็นบุคคลอื่นคงจะหัวขาดเป็นแน่  เรื่องอันน่าสนใจใน พระเดชพระคุณเจ้ารูปนี้ยังมีที่น่าขำขันอีกมากมาย แต่ในเรื่องราวเหล่านั้นท่านได้สอดแทรกคติธรรม ปริศนาธรรมอย่างลึกซึ้งให้เราท่านได้ขบคิดและน่าจะได้ใคร่ครวญสืบต่อไป
ถึง แม้ว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี ) จะประพฤติปฏิบัติตามความพอใจของท่าน ไม่ถือความนิยมของผู้อื่น จึงมีเรื่องเล่าถึงการที่ท่านปฏิบัติแปลกๆมากมาย แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร ๔) ก็ทรงพระเมตตา ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯอยู่เสมอมา เข้าทำนองนักปราชญ์ย่อมเข้าใจในการกระทำของนักปราชญ์ฉะนั้น ประการหนึ่ง และยิ่งกว่านั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ซึ่งมีความ เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนาธุระ คันถธุระ ขณะที่ทรงผนวชอยู่นั้นแล้ว ในวิชาโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ก็เยี่ยมยอด  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว (ร ๕) ทรงโปรดให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ผู้ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์อย่างเจนจัดเชี่ยวชาญ ผูกดวงชะตาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ที่สมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ผูกไว้ให้แก่สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวงศ์วโรปการ ถือเป็นหลักในวิชาพยากรณ์
ดวงชะตาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯมีดังนี้
อาทิตย์ เป็นศรี เป็นมหาอุจจ์กุมลลัคนาบรรลุความสำเร็จสูงสุดทั้งเกียรติยศ ชื่อเสียง เป็นผู้มีอารมณ์ขัน เพราะสมาสัปต์กับศุกร์ลัคนา เกาะปัญจมะนวางค์ อาทิตย์ (ศรี) ทุติยตรียางคอาทิตย์ (ศรี) เสวยภรณีฤกษ์ที่ ๒ ประกอบด้วยมหัธโนแห่งฤกษ์  จะเป็นด้วยราหูเป็นอายุ เป็นมหาอุจจ์ และเพราะสมาสัปต์กับศุกร์ จึงทำให้เจ้าประคุณสมเด็จฯเป็นผู้มีอารมณ์ขันหรืออย่างไรก็เหลือเดา จึงมีเรื่องที่แสดงถึงความเป็นผู้มีอารมณ์ขันของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯอยู่ เสมอ  ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี ) อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามธนบุรี ท่านเป็นผู้ทรงคุณวิเศษหลากหลายประการด้วยกัน ดังได้กล่าวไปบ้างแล้วนั้น มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯกับหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหารบางขุนพรหม ท่านทั้งสองได้เดินผ่านพระเจดีย์องค์หนึ่ง ซึ่งช่างได้ทำการบูรณะโดยการโบกปูนปิดฐานพระเจดีย์ที่ชำรุดให้คงสภาพดี เหมือนเดิม บังเอิญภานในพระเจดีย์ที่โบกปูนปิดช่องลมที่ฐานพระเจดีย์นั้นมีคางคกสองตัว ติดอยู่หาทางออกไม่ได้ต่างดิ้นทุรนทุราย ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯท่านทราบด้วยตาทิพย์ ท่านจึงเอ่ยถามหลวงปู่ภูซึ่งท่านก็ได้ตาทิพย์เช่นกัน ท่านจึงตอบท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯไปว่า คางคกสองตัว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯจึงให้หลวงปู่ภูเอาคางคกที่ติดอยู่ภายในฐานพระเจดีย์ ออกมาโดยการทุบตรงที่โบกปูนนั้น  จากพฤติกรรมดังกล่าวแล้วนั้น แสดงว่าทั้งท่านเจ้าประคุณสมเด็จและหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหารผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯล้วนแต่ทรงคุณวิเศษ ทั้งคู่ นั่นย่อมหมายความว่า ท่านสำเร็จอภิญญา คือความรู้ยิ่งในพระพุทธศาสนา
ในบรรดาพระอาจารย์ผู้สำเร็จวิชาสตรโสฬสและทรงคุณวิเศษดังกล่าวแล้ว นั้นมีท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ รวมอยู่ด้วยรูปหนึ่ง ท่านจึงสามรถที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ตลอดจนคุณวิเศษต่างๆได้นานัปการนอกจากนั้น ท่านยังเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต บางครั้งบางโอกาสท่านอาจจะทำเป็นโง่แบบเถรตรงจนเกินไปก็มี  คราวหนึ่งพระ บาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เมล็ดพระศรีมหาโพธิ์มาจากพระพุทธคยาทรงเพาะขึ้นแล้วมีรับสั่งให้ส่งต้น พระศรีหาโพธิ์ที่เพาะขึ้นนั้นไปปลูกตามพระอารามหลวง เจ้าพนักงานได้มีใบบอกไปตามวัดต่างๆให้มารับไป เจ้าอาวาสทั้งหลายได้มารับเอาไปปลูก โดยเอาเรือจ้างบ้าง เรือถ่อบ้าง มารับเอาไป ส่วนท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯท่านไม่ยอมไปรับ กลับมีลิขิตตอบไปว่า ท่านไปรับไม่ได้เกรงจะเป็นการดูหมิ่นต่อเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ควรบอกเจ้าหน้าที่นำเรือกัญญาไปรับต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วมีเรือตั้งนำเชิญไปพระราชทานตามวัด จึงจะสมควรแก่เกียรติยศ เจ้าหน้าที่ได้นำลิขิตของขรัวโต ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วทรงกรุณาโปรดเกล้าฯว่า ถูกของท่าน พวกเจ้ามักง่าย  ด้วยเหตุนี้บรรดาวัดต่างๆที่รับต้นศรีมหาโพธิ์ไปแล้ง ต้องนำมาส่งคืน เจ้าพนักงานต้องเชิญต้นศรีมหาโพธิ์ลงเรือกัญญา มีเรือขบวนแห่ไปส่งตามพระอารามหลวงจนทั่วกัน  ด้วยภูมิอันฉลาดแหลมคม ตลอดจนความเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต ซึ่งได้รับคำยกย่องว่าท่านเป็นเอตทัคคะรูปหนึ่งแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี ) อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี บางโอกาสท่านจึงได้แสดงพฤติกรรมบางอย่างบางประการออกไปในทางพิลึก พิเรนทร์ที่มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาๆเขาไม่นิยมกระทำกัน แต่ทว่าท่านกลับเป็นผู้กระทำเสียเอง แต่ถ้าดูกันอย่างผิวเผิน จักเห็นว่าท่านเป็นคนสติเฟื่องจึงกระทำเรื่องบ๊องๆ เช่นนั้น แต่ถ้าได้พิจารณากันอย่างถ่องแท้ให้ถึงซึ่งความเป็นจริงและเป็นสัจ ธรรมคำสอนตามพุทธธรรมในพุทธองค์แล้ว การกระทำของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านได้สอดแทรกแก่นแท้ของหลักธรรมเอาไว้ทั้งสิ้น อย่างเช่น ในกรณีที่พระลูกวัดของท่านสองรูปที่กำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรงถึงขั้นจะลง มือลงไม้กันทีเดียว ถ้าท่านเป็นเจ้าอาวาสก็จะเข้าไปห้ามปรามนั้นเป็นเรื่องธรรมดาแต่ทว่าท่าน รีบขวนขวายหาดอกไม้ธูปเทียน แล้วรีบไปหาสองพระลูกวัดที่กำลังทะเลาะกันอยู่นั้น พร้อมกับก้มลงกราบ แล้วพูดว่า ท่านทั้งสองเก่งมาก อาตมากลัวแล้ว ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย
พระภิกษุทั้งสองรูปเมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นก็ต้องเลิกรากันในทันที แล้วรีบคุกเข่ากราบท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ และและแทนที่ท่านจะดุว่าพระทั้งสองแม้สักคำน้อยก็หาไม่ ท่านกลับว่า ที่ท่านทั้งสองทะเลาะเบาะแว้งกันนั้น เพราะอาตมาปกครองท่านไม่ดีต่างหาก หาได้เป็นความผิดของท่านทั้งสองไม่ ท่านเคยได้พบเห็นหรือท่านเคยได้ยินพฤติกรรมอย่างนี้มีที่ไหนบ้าง  ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯท่านได้นำหลักธรรมคำสอนที่ว่าด้วย ชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ เวรระงับด้วยการไม่จองเวร ทำนองนี้  นอกจากท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯจะได้สร้างปูชนียวัตถุดังกล่าวแล้ว มีเรื่องเล่าว่า ครั้งเมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯขึ้นไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศใต้ของกรุงสุโขทัย และเป็นเมืองที่ร่ำรวยด้วยโบราณวัตถุทางพุทธศาสนาแล้ว ยังเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีพระเครื่องซึ่งงดงามไปด้วยพุทธศิลปะอันบริสุทธิ์ ของชาวไทยเราอีกด้วยและโดยเฉพาะที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านมีความรู้และแตกฉานทางอักษรโบราณ ท่านจึงสามารถอ่านศิลาจารึกที่ว่าด้วยกรรมวิธีการสร้างพระเครื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างพระพิมพ์ด้วยเนื้อผงขาว ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า เนื้อพระสมเด็จ โดยมีเนื้อหลักเป็นปูนขาว (ปูนหิน) หรือปูนเปลือกหอย ผสมผสานด้วยวัตถุมงคลอาถรรพณ์อื่นๆ และมีผงวิเศษซึ่งสำเร็จจากการลบสูตรสนธิ์จากคัมภีร์ทางพุทธาคม  เมื่อนำเอามาบดตำกรองจนดีแล้ว จึงนำเอาวัตถุมงคลและอาถรรพ์ต่างๆเหล่านั้นมาผสมผสานกับดินสอพอง (ดินขาว) แล้วปั้นเป็นแท่งตากให้แห้งแล้วจึงนำเอามาเขียนอักขระเลขยันต์ตาม คัมภีร์บังคับบนกระดานโหราศาสตร์ซึ่งทำจากต้นมะละกอ เสร็จแล้วจึงลบเอาผงมาสร้างเป็นพระสมเด็จ ที่เรียกว่าผงวิเศษ หรือผงพุทธคุณนั่นเอง  นอกจากนั้นแล้วยังสันนิษฐานกันว่า ท่านยังเอาข้าวก้นบาตรและอาหารหวานคาวที่ท่านฉันอยู่ถ้าคำไหนอร่อยท่านจะ ไม่ฉัน จะคายออกมาแล้วตากให้แห้งเพื่อนำไปบดตำสร้างพระสมเด็จของท่าน ซึ่งถูกต้องตามวิธีการสร้างพระอาหารของชาวรามัญ
ส่วนตัวประสานหรือตัวยึดเกาะนั้น ที่เราทราบๆกันอย่างเด่นชัดก็คือ น้ำมันตังอิ๊ว น้ำอ้อย น้ำผึ้ง กล้วย และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เยื่อกระดาษ ได้จากการที่เอากระดาษฟางหรือกระดาษสามาแช่น้ำข้ามวันข้ามคืน จนกระดาษละลายเป็นเมือกดีแล้ว จึงนำเอามากรองเพื่อเอาเยื่อกระดาษมาผสมผสานบดตำลงไป เชื่อกันว่าตัวเยื่อกระดาษนี้เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตา รามมีความหนึกนุ่ม เนื้อจึงไม่แห้งและกระด้าง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนผสมที่เป็นประเภทพืช เช่น ข้าว อาหาร กล้วย อ้อย เป็นต้น ก็มีส่วนที่ทำให้เนื้อพระมีความหนึกนุ่มอีกเช่นกัน  สำหรับในด้านแม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามนั้น ถ้าได้พิจารณากันอย่างถ่องแท้แล้วจักเป็นรูปแบบที่เรียบง่าย คือเค้าโครงภายนอกเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงเลขาคณิต เป็นการออกแบบที่ทวนกระแสความคิดสร้างสรรค์ของคนโบราณอย่างสิ้นเชิง อาจจะพูดได้ว่าเป็นการออกแบบที่เป็นศิลปะของตนเองอย่างบริสุทธิ์ หาได้อยู่ภายใต้ของศิลปะพระเครื่องสกุลอื่นใดไม่ ทั้งๆที่การสร้างพระพิมพ์หรือพระเครื่องได้มีมาแต่ครั้งสมัยคันธารราษฎร์ (อินเดีย) มากกว่า ๒,๐๐๐ ปีล่วงมาแล้ว  ในด้านองค์พระคงจะได้แนวคิดและแบบ อย่างมาจากพระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งส่วนมากจักประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี เฉพาะซุ้มเรือนแก้วนั้นคงจักได้แนวคิดมาจากครอบแก้ว ซึ่งเพิ่งจะมีครอบแก้วครอบพระบูชาประจำวัด ประจำบ้าน เพื่อเป็นการอนุรักษ์ไม่ให้ผิวทองหมองประการหนึ่ง และเพื่อเป็นการป้องกันฝุ่นละอองที่มีคละคลุ้งในอากาศอีกด้วย
เป็นที่เชื่อกันว่า ผู้ที่แกะแม่พิมพ์ถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯนั้น น่าจะเป็นฝีมือช่างสิบหมู่หรือฝีมือช่างหลวงนั่นเอง  พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตารามในท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯนั้น เป็นเป็นพระที่สร้างแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามแต่โอกาสและเวลาจะอำนวย หาได้สร้างเป็นครั้งเดียวไม่ ที่เชื่ออย่างนี้เพราะพระแต่ละพิมพ์ของท่าน เนื้อหา ตลอดจนมวลสารนั้นมีอ่อนแก่กว่ากัน ละเอียดบ้าง หยาบบ้าง สีสันวรรณะก็เป็น เช่น เดียวกันทั้งสิ้น เมื่อท่านสร้างพระแต่ละพิมพ์แต่ละคราวเสร็จแล้ว ท่านจะบรรจุลงในบาตร นอกจากท่านจะบริกรรมปลุกเสกด้วยตัวท่านจงดีแล้ว ยังนิมนต์ให้พระเณรปลุกเสกอีกด้วย เมื่อท่านออกไปบิณฑบาตท่านก็จะเอาติดตัวไป ญาติโยมที่ใส่บาตรท่าน ท่านจะแจกพระให้คนละองค์ และมักจะพูดว่า เก็บเอาไว้ให้ดีนะจ๊ะ ต่อไปจะหายาก โดยไม่บรรยายสรรพคุณให้ทราบแต่อย่างใด แต่ก็เป็นที่ทราบกันอยู่ในยุคสมัยนั้นแล้วว่า พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ โด่งดังทางโภคทรัพย์และเมตตามหานิยม
การสร้างพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม
...เป็น ที่ค่อนข้างจะเชื่อได้ว่าเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต ท่านสร้างสมเด็จวัดระฆังของท่านไปเรื่อยๆจนท่านอาจจะมีการดูฤกษ์เป็นกรณี พิเศษ แล้วท่านก็สร้างขึ้นมาท่านมีกำหนดว่าจะสร้างกี่องค์ ท่านก็สร้างขึ้นมา แต่มั่นใจว่าท่านไม่ได้สร้างครั้งละมากๆเพื่อแจกไว้นานๆ
...วัน ไหนที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯกำหนดจะสร้างพระ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯก็จะเอาปูนเอาส่วนผสมต่างๆมาตำได้เนื้อพระสมเด็จมา ก้อนหนึ่ง แล้วปั้นเป็นแท่งสี่เหลียม ตัดออกเป็นชิ้นๆ ในสมัยก่อนเรียกว่า ชิ้นฟัก
...แล้วนำเนื้อสมเด็จชิ้นฟักวางลงที่แม่พิมพ์ ซึ่งแกะจากหินชนวนกดเนื้อพระกับแม่พิมพ์ให้แน่นนำเอาไม้แผ่นมาวางทับด้าน หลังของพระสมเด็จวัดระฆัง แล้วใช้ไม้หรือของแข็งเคาะที่ไม้ด้านหลังเพื่อไล่ฟองอากาศและกดให้เนื้อพระ สมเด็จแน่นพิมพ์
...จึงจะเอาไม้แผ่นด้านหลังออกจึงปรากฏรอยกระดานบ้าง รอยกาบหมากบ้างบนด้านหลังขององค์สมเด็จวัดระฆัง กลายเป็นจุดสำคัญและเป็นหัวใจของการดูพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม
...เมื่อ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯได้กดพระบนพิมพ์เรียบร้อยแล้วท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็จะตัดขอบพระเป็นรูปสี่เหลี่ยม โดยใช้ตอกตัด ตอกไม้ไผ่ที่ใช้จักสาน
...ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯไม่ใช้มีดเพราะเป็นพระไม่ควรใช้ของมีคม วิธีตัดตอกนั้นตัดจากด้านหลังไปด้านหน้าโดยเข้าใจว่าในแม่พิมพ์พระสมเด็จ ที่เป็นหินชนวนนั้น จะบากเป็นร่องไว้สำหรับนำร่องการตัดตอก
...เพราะพระสมเด็จวัดระฆัง บางองค์ที่ขอบมีเนื้อเกินจะเห็นเส้นนูนของร่องไว้ให้สังเกต การตัดตอกพระสมเด็จวัดระฆัง จากด้านหลังไปด้านหน้าจึงเกิดร่องรอยปรากฏที่ด้านข้างขององค์พระและรอยปริ แตกขององค์พระด้านหลังที่ลู่ไปตามรอยตอกที่ลากลงร่องรอยต่างๆ
...เมื่อผ่านอายุร้อยกว่าปีมาแล้ว การหดตัวขององค์พระสมเด็จฯ การแยกตัวของการปริแตกตามรอยตัด กลายเป็นตำนานการดูพระสมเด็จวัดระฆังที่สำคัญที่สุด
...เมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯได้กดพิมพ์สร้างพระสมเด็จฯจนหมดเนื้อแล้วก็ คงหยุด คงไม่ได้สร้างครั้งละมากๆ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต นำมาสร้างพระสมเด็จวัดระฆัง แน่นอนที่สุด อันดับแรก ประกอบด้วยปูนเปลือกหอย คือเอาเปลือกหอยมาเผาเป็นปูนขาว
...ในสมัยก่อนมีปูนเปลือกหอยมาก แต่ปัจจุบันหาไม่ค่อยมีแล้ว อันดับสอง คือส่วนผสมของน้ำมัน ตังอิ๊ว เพราะเคยเห็นมากับตาเวลาพระสมเด็จวัดระฆัง ชำรุดหักจะเห็นเป็นน้ำมัน
ตังอิ๊ว เยิ้มอยู่ข้างในเนื้อพระเป็นจุดๆ
...อันดับที่สาม มีปูนอีกชนิดหนึ่งเขาเรียกว่า ปูนหิน มีน้ำหนักมากไม่ทราบว่าทำมาจากอะไร ท่านผู้อ่านโปรดสังเกตว่าตามโรงงิ้วพวกงิ้วจะเอาแป้งจากปูนหินสีขาวๆมาพอก หน้า เป็นพื้นแล้วจะติดแน่น
...เอาเนื้อสามส่วนนี้เป็นหลักมาผสมกัน ยังมีมวลสารชนิดหนึ่งเป็นเม็ดสีเทาๆมองเหมือนก้อนกรวดสีเทา แต่ไม่ใช่ เพราะเนื้อนิ่มเวลาเอามีดเฉือนจะเฉือนเข้าง่าย จึงไม่ทราบว่าเป็นมวลสารอะไร
...และเคยเจอผ้าแพรสีเหลืองเข้าใจว่าเป็นผ้าแพรที่ถวายพระพุทธรูปแล้วเวลา เก่าหรือชำรุดแทนที่จะนำผ้าแพรที่ห่มพระพุทธรูปมีผู้คนกราบไหว้มากมายไปทิ้ง
...ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต ได้นำผ้าแพรตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เอาดินสอลงอักขระเป็นอักษรไว้ แล้วผสมในมวลสารที่สร้างพระสมเด็จวัดระฆัง
...ชิ้นส่วนที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ก้านธูปบูชาพระ สันนิษฐานว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ คงนำเอาสิ่งของที่บูชาพระทั้งหมดเมื่อกราบไหว้บูชาพระ แล้วก็ไม่ทิ้ง
...นำมาตัดหรือป่นกับเนื้อที่จะสร้างสมเด็จวัดระฆัง จะเห็นเป็นเศษไม้ลักษณะก้านธูปผสมอยู่ในเนื้อพระสมเด็จวัดระฆัง กลายเป็นเอกลักษณ์อันสำคัญยิ่งถ้ามีเศษธูปแล้วต้องเป็นสมเด็จวัดระฆัง
...วัสดุอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือมีเม็ดแดงเหมือนอิฐผสมอยู่ในเนื้อของ พระสมเด็จวัดระฆัง เม็ดแดงนี้ขอยืนยันได้เลยว่า เป็นเศษเนื้อพระซุ้มกอตำให้ละเอียดแล้วผสมไว้กับมวลสารที่จะสร้างพระสมเด็จวัดระฆัง
...เอกลักษณ์อันสำคัญที่สุดคือเม็ดเล็กๆมีผสมค่อนข้างมาก สีขาวออกเหลือง ซึ่งคนส่วนใหญ่เรียกว่า เม็ดพระธาตุ แต่คงไม่ใช่เม็ดพระธาตุเพราะถ้าเป็นเม็ดพระธาตุคงต้องใช้จำนวนมหาศาล เพราะพระสมเด็จวัดระฆังทุกองค์จะมีเม็ดพระธาตุมาก จะไปเอาพระธาตุมาจากไหนมากมายมหาศาล
...จุดเม็ดพระธาตุนี้กลายเป็นจุดสำคัญของตำนานการดูพระสมเด็จวัดระฆัง ที่สำคัญที่สุด สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นปูนหินสีขาวๆเมื่อผสมกับน้ำมันตังอิ๊วจับตัวเป็นก้อน เมื่อตำผสมกับปูนขาวเปลือกหอยแล้ว ไม่กลืนกันภายหลังแยกกันเป็นเม็ดๆในเนื้อของสมเด็จวัดระฆัง
...แต่บางคนก็สันนิษฐานไปว่าอาจจะเป็นปูนขาวที่ปั้นพระบูชาตามโบสถ์ เสร็จแล้วทารักปิดทองให้พุทธศาสนิกชนกราบไหว้บูชาเป็นร้อยเป็นพันปี
...บางครั้งปูนขาวพองขึ้นชำรุดเสียหาย จึงต้องลอกเอาปูนขาวออกปั้นด้วยปูนขาวใหม่ให้พระสมบูรณ์ เพื่อยืดอายุพระพุทธรูปบูชาในโบสถ์ให้มีอายุนับพันปี
...ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต เห็นเป็นวัสดุบูชาที่ไม่ควรจะทิ้ง จึงนำมาตำผสมไว้ในมวลสารของพระสมเด็จวัดระฆัง มาจนถึงปัจจุบันอายุของพระสมเด็จวัดระฆังร้อยกว่าปี การหดตัวของมวลสารเกิดขึ้น
...วัสดุที่ต่างกัน อายุต่างกัน จึงหดตัวไม่เท่ากัน จึงเกิดรอยแยกตัวของรอบๆเม็ดพระธาตุอย่างสม่ำเสมอ เป็นตำนานอันสำคัญที่สุดในการดูพระสมเด็จวัดระฆัง แท้
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จะนำดินสอพองมาเขียนเป็นตัวอักขระบนกระดานชนวน เสร็จแล้วก็ลบออก และเขียนอักขระใหม่แล้วก็ลบออกอีก นำเอาผงที่ลบออกมาเก็บเอาไว้ คนรุ่นเก่ารุ่นแก่เรียกว่า ผงอิทธิเจ นำมาผสมในพระสมเด็จวัดระฆัง
ที่มา : http://angsila.cs.buu.ac.th/~it471452/phrathai/page2-5.html